หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

(Holiday Season can cause us to stress) เชื่อหรือไม่? ช่วงเทศกาลก็ทำให้เราเครียดได้

chrismas

มีคนเป็นจำนวนมากที่พบว่าตนเองมีความเครียดเพิ่มมากขึ้นในช่วงวันหยุด ความเครียดไม่ได้เป็นเพียงปัญหาด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นปํญหาด้านความปลอดภัยด้วย ผู้ที่มีความเครียดมักมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าผู้ที่ไม่มีความเครียด

ในประเทศสหรัฐอเมริกามีรายงานตัวเลขค่าใช้จ่ายที่เกิดจากความเครียดที่เป็นสาเหตุให้พนักงานมีอาการปวดศีรษะ ต้อง

ขาดงาน มีผลการปฎิบัติงานที่แย่ลง คิดเป็นมูลค่ากว่า 300, 000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยเลยที่เดียว

การตกแต่งประดับประดา การจับจ่ายใช้สอย การเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลวันหยุด กิจกรรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ งานรื่นเริง การขับรถเดินทาง การเดินทางท่องเที่ยว ก็ดีล้วนมีผลต่อความความเครียดซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น ดังนั้นกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จึงควรมาคู่กับกับการเพิ่มความระมัดระวังในความปลอดภัย การให้ความรู้และสร้างความตระหนักให้กับพนักงานในช่วงนี้จึงนับเป็นสิ่งที่ดีและควรทำอย่างยิ่ง

ในช่วงใกล้วันเทศกาลแบบนี้พนักงานมักจะไม่มีสมาธิในการทำงานเพราะมัวคิดถึงแต่เรื่องวันหยุดมากกว่างานที่ทำ ซึ่งจะเป็นสาเหตุนำไปสู่ความประมาท และการเกิดอุบัติได้ง่าย บางคนอาจจะมีกิจกรรมหลังเลิกงาน เช่น การไปจับจ่ายซื้อหาของขวัญ ไปงานเลี้ยงสรรคสรรค์ ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ และมาทำงานด้วยความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายเช่นกัน

เราสามารถป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลอย่างนี้โดยการเพิ่มการเอาใจใส่ดูแลพนักงาน และให้คำแนะนำกับพนักงาน ดังนี้

· การวางแผน : วางแผนการท่องเที่ยว การเดินทาง งานเลี้ยงสังสรรค์ และอื่น ๆ แต่เนิ่น ๆ

· ถาม อย่าเดา : พยายามสอบถามหรือเรียบ ๆ เคียง ๆ ถามผู้ที่เราจะมอบของขวัญให้ว่าเขาต้องการอะไรเป็นพิเศษเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและผู้รับได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

· ไม่ควรอดอาหาร : รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานและหลีกเลี่ยงอาการปวดศีรษะ

· พยายามนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: การอดนอนจะทำให้ร่างกายเกิดความเครียดได้ง่าย

· ดื่มแต่พอประมาณ : ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลแต่พอประมาณ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเมาและเมาค้าง

เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้ชีวิตในช่วงเทศกาลได้อย่างสนุกสนาน ปราศอุบัติเหตุ และความเครียด กันแล้ว.

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

How Cold is Too Cold? (อย่างไรถึงเรียกว่าอากาศหนาวเกินไป)

อากาศหนาวเริ่มมาเยือนอีกรอบแล้วช่างเร็วเหลือเกิน รอบนี้มีการพยากรณ์กันว่าจะหนาวกว่าทุกปี จะจริงหรือไม่ก็คงต้องรอพิสูจน์เอา แต่อย่างไรก็ตามในฐานะที่อยู่ในแวดวงความปลอดภัย เพื่อความไม่ประมาทก็อยากให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับภัยหนาวกันดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในที่เย็น หรืออุตสาหกรรมห้องเย็นที่มีอากาศเย็นจัด เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ตลอดช่วงฤดูหนาว

ตามคำนิยามของ OSHA (หน่วยงานดูแลเรื่องความปลอดภัย สุขภาพ จากการประกอบอาชีพ ของอเมริกา) ระบุว่า การเจ็บป่วยเนื่องจากอากาศเย็นจะเกิดขึ้นเมื่อกลไกลของร่างกายไม่สามารถสร้างความอบอุ่นด้วยตัวเองได้ ทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ ถูกทำลาย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเนื่องจากอากาศเย็น มีด้วยกัน 4 ปัจจัยคือ

· อุณหภูมิอากาศที่เย็น

· ลมที่แรง

· ความชื้นของอากาศ

· การสัมผัสกับน้ำที่เย็บ หรือพื้นผิวที่เย็น

สภาพแวดล้อมที่หนาว/เย็นจะทำให้กลไกลในร่างกายต้องทำงานหนักหนักขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายไว้ ซึ่งสภาพอากาศที่เย็น น้ำที่เย็น และหิมะ ล้วนทำให้ร่างกายต้องสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย .

นอกจากนี้ในขณะที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งและมีการป้องกันที่ไม่เพียงพอยังอาจทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยเนื่องจากความหนาวได้

เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเมื่ออากาศหนาว ?

พลังงานในร่างกายจะถูกนำไปใช้เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายทำให้ร่างกายอบอุ่น เมื่อต้องอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเป็นเวลานานร่างกายก็จะเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดเลือดจากอวัยวะส่วนปลายของร่างกาย คือแขน ขา และผิวหนังชั้นนอกไปยังอวัยวะแกนหลัก คือส่วนหน้าอกและหน้าท้อง ซึ่งการเพิ่มอัตราการไหลเวียนโลหิตนี้จะทำให้แขน ขา และผิวหนังเราเย็นลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้นได้

ความเจ็บป่วยที่เกิดจากความหนาว ที่สำคัญ ๆ ได้แก่

Hypothermia (อุณหภูมิร่างการลดต่ำเนื่องจากความเย็น) เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายสูญเสียความร้อนไปมากกว่าที่ร่างกายสร้างขึ้นมาทดแทน เมื่ออุณหภูมิร่างกายลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิปกติ คือ 37 องศาเซลเซียส ถึงประมาณ 32 องศาเซลเซียส จะเริ่มมีอาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย สับสน ง่วงซึม ผิวหนังซีดเย็น

Frostbite อาการบวมเป็นน้ำเหลือง เนื่องจากถูกความเย็น เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังถูกความเย็นและสูญเสียน้ำ ส่วนใหญ่มักพบที่บริเวณอวัยวะส่วนปลายของร่างกาย โดยอวัยวะส่วนดังกล่าวจะเย็น รู้สึกซ่า ๆ เจ็บปวด หมดความรู้สึกในที่สุด ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเป็นสีม่วง และกลายเป็นสีขาว และผิวหนังจะเย็นจนสัมผัสไม่ได้ ในบางกรณีอาจมีตุ่มพุพองเกิดขึ้น

Trench foot เท้าแช่น้ำเย็น เกิดจากการที่เท้าแช่อยู่ในน้ำเย็นที่มีอุณหภูมิประมาณจุดเยือกแข็งเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งจะคล้ายคลึงกันกับ Frostbite แต่อาการ Trench Foot นี้จะรุนแรงน้อยกว่า จะมีอาการผิวหนังรู้สึกซ่าๆ มีตุ่มหิด หรือรู้สึกเหมือนถูกไฟลวก ต่อมาอาจจะมีแผลพุพอง

เมื่อต้องเผชิญกับภัยหนาว

สิ่งที่ควรปฎิบัติหรือแนวทางการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากภัยหนาว สำหรับผู้ที่ต้องทำงานสัมผัสกับความหนาว/เย็น รวมทั้งผู้ที่ชอบพักผ่อนหย่อนใจ หรือชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งในฤดูหนาว มีดังนี้

· สวมใส่เสื้อผ้าอย่างน้อย 3 ชั้น โดยชั้นนอกสุดเป็นผ้าที่ทำจากวัสดุที่สามารถป้องกันแรงลมได้ เช่น Gortex, ชั้นกลางควรทำจากวัสดุที่ช่วยดูดซับเหงื่อและให้ความอบอุ่น เช่นขนสัตว์ และชั้นในสุดควรทำจากวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี เช่น cotton หรือ synthetic

· สวมหมวก เนื่อจากความร้อนในร่างกายอาจสูญเสียผ่านทางศีรษะได้

· มีเสื้อผ้าแห้ง ติดสำรองไปด้วย เผื่อกรณีที่ที่ชุดที่สวมใส่อยู่เปียก

· ควรสวมเสื้อผ้าที่หลวม ๆ เนื่องจากจะช่วยการระบายอากาศได้ดี

· ปฎิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยในการปฎิบัติงานอย่างเคร่งครัด , ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ , พักโดยการออกจากที่หนาว/เย็น เป็นระยะๆ, ควรทำงานเป็นคู่ และรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ

· ใช้การป้องกันทางด้านวิศวกรรม เช่น เครื่องทำความร้อน, ที่ป้องกันแรงลม และทำฉนวนหุ้มอุปกรณ์ หรือเครื่องมือ

· เรียนรู้ หรือทราบอาการเบื้องต้นที่อาจเกิดขึ้นกับภัยหนาว

เพียงง่าย ๆ เท่านี้ เราก็จะเผชิญกับความหนาวแบบไม่หวาดหวั่นกันแล้ว

“ ความปลอดภัยเป็นเรื่องของการหมั่นเรียนรู้และตระหนัก”

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

What’s a Confined Space? (อย่างไรถึงเรียกว่าสถานที่อับอากาศ)

ในตอนที่ผ่านมาเราได้ทราบถึงกฎเหล็กเพื่อความปลอดภัยในการปฎิบัติงานในสถานที่อับอากาศกันไปแล้ว ในตอนต่อไปนี้ เราจะมาทราบกันต่อถึงความหมาย หรือลักษณะของสถานที่อับอากาศ อย่างไรถึงเรียกว่าเป็นสถานที่อับอากาศ

สถานที่อับอากาศคือสถานที่ที่มีทางเข้าออกที่จำกัด ยากต่อการเข้า-ออก และไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้คนเข้าไปครอบครอง ทำงาน หรืออยู่อาศัย ตัวอย่างเช่น

  • ภาขนะบรรจุขนาดใหญ่
  • กรวยขนาดใหญ่
  • ห้องใต้ดิน
  • เพลาระบายอากาศ
  • ไซโล เป็นต้น

สถานที่อับอากาศเป็นสถานที่ที่อาจมีอันตรายที่มองไม่เห็นแอบแฝงอยู่ ต้องใช้ความรวดเร็วในการปฎิบัติงาน สภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และยากต่อการหลบหนีหรือหลบหลีก ซึ่งอันตรายดังกล่าว ประกอบไปด้วย

  • การขาดออกซิเจน
  • การเกิดอัคคีภัยหรือการระเบิด
  • การเกิดสารที่เป็นพิษ
  • การเกิดอันตรายทางด้านกายภาพ เช่น ความร้อน เสียง การพลัดตก และ อันตรายจากเครื่องจักร

แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ทำความสะอาดอย่างดีแล้วก็อาจมีความเสี่ยงได้ ดังนั้นการเรียนรู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นภายในสถานที่อับอากาศ และวิธีการรับมือหรือป้องกันจะช่วยให้เราทำงานในสถานที่อับอากาศได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเทคนิคต่างๆ จะได้นำมาเล่าสู่กันฟังในตอนต่อไป