หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

พรบ.ความความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 (New OHS Law 2011)


rsz_law54


บทสรุป

พระราชบัญญัติความความปลอดภัย
อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554



ลงราชกิจจานุเบกษา 17 มกราคม 2554

มีผลใช้บังคับ 16 กรกฎาคม 2554

เหตุผลในการอออกพรบ.ฉบับนี้:

- ปัญหาการประสบอันตราย และความสูญเสียที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น

- การคุ้มครองแรงงาน ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541ไม่ สามารถกำหนดกลไก และ มาตรการบริหารงานความปลอดภัยฯได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ในการอออกพรบ.ฉบับนี้:

- วางมาตรการการควบคุม กำกับ ดูแล บริหารจัดการความปลอดภัยฯ อย่างเหมาะสม

- ป้องกันสงวนรักษาทรัพยากรบุคคลอันเป็นกำลังสำคัญของชาติ

ประโยชน์ที่จะได้รับจากพรบ.ฉบับนี้:

ลูกจ้าง - มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม

- คุ้มครองการทำงานให้ปลอดจากอุบัติเหตุ และ โรคจากการทำงาน

- ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง และ ครอบครัว

นายจ้าง - ลดค่าใช้จ่าย และความสูญเสีย อันเกิดจากการประสบอันตราย

- เพิ่มผลผลิต และเพิ่มคุณค่าผลผลิต

การมีส่วนร่วม - นายจ้าง/ผู้รับเหมาชั้นต้น/ผู้รับเหมาช่วง และผู้ที่เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย

- ประชาชน/ชุมชน สภาพแวดล้อมถูกสุขลักษณะ ปลอดภัย มั่นใจ

- ประเทศ ภาพลักษณ์ ศักยภาพ สร้างบรรยากาศการลงทุนการท่องเที่ยว

ร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 ประกอบด้วย 8 หมวด 74 มาตรา

หมวด 1 บททั่วไป กำหนดหน้าที่ นายจ้าง/ลูกจ้างเพื่อให้เกิดความปลอดภัยฯ แก่ลูกจ้าง และสถานประกอบกิจการ

หมวด 2 การบริหาร การจัดการและการดำเนินการด้านความปลอดภัยฯ

หมวด 3 คณะกรรมการความปลอดภัยฯ

หมวด 4 การควบคุม กำกับ ดูแล

หมวด 5 พนักงานตรวจความปลอดภัย

หมวด 6 กองทุนความปลอดภัยฯ

หมวด 7 สถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ

หมวด 8 บทกำหนดโทษ

สาระสำคัญสรุปได้ดังนี้:

1. ให้นายจ้างมีหน้าที่จัดและดูแลสถานประกอบกิจการและลูกจ้างให้มีสภาพการทำงานและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยและถูกสุขลักษณะ รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนการปฏิบัติงานของลูกจ้างมิให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ และสุขภาพอนามัย

2. ให้ลูกจ้างมีหน้าที่ให้ความร่วมมือกับนายจ้างในการดำเนินการและส่งเสริมด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ลูกจ้างและสถานประกอบกิจการ

3. ให้นายจ้างบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดในกฎกระทรวง

4. ให้ลูกจ้างมีหน้าที่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานตามมาตรฐานที่กำหนดในวรรคหนึ่ง

5. ในกรณีที่พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้นายจ้างต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ให้นายจ้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเพื่อการนั้น

6. นิติบุคคลใดประสงค์จะให้บริการในการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรองประเมินความเสี่ยง รวมทั้งจัดฝึกอบรมหรือให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานตามมาตรฐานที่กำหนดในกฎกระทรวง จะต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี

7. ให้นายจ้างจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน บุคลากร หน่วยงานหรือคณะบุคคลเพื่อดำเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง

8. เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานและบุคลากรจะต้องขึ้นทะเบียนต่อกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

9. ให้นายจ้างจัดให้ผู้บริหาร หัวหน้างาน และลูกจ้างทุกคนได้รับการฝึกอบรมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อให้บริหารจัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานได้อย่างปลอดภัย

10. ในกรณีที่สถานที่ใดมีสถานประกอบกิจการหลายแห่ง ให้นายจ้างทุกรายของสถานประกอบกิจการในสถานที่นั้น มีหน้าที่ร่วมกันดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้

11. ในกรณีที่นายจ้างเช่าอาคาร สถานที่ เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่นำมาใช้ในสถานประกอบกิจการ ให้นายจ้างมีอำนาจดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับอาคารสถานที่ เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์หรือสิ่งอื่นใดที่เช่านั้นตามมาตรฐานที่กำหนดในกฎกระทรวง

12. ให้ผู้บริหารหรือหัวหน้างานมีหน้าที่สนับสนุนและร่วมมือกับนายจ้างและบุคลากรอื่นเพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการทำงานที่ออกตามกฎกระทรวง

13. ให้นายจ้างจัดและดูแลให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่ได้มาตรฐานตามที่อธิบดีประกาศกำหนด

14. ลูกจ้างมีหน้าที่สวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลและดูแลรักษาอุปกรณ์ตามวรรคหนึ่งให้สามารถใช้งานได้ตามสภาพและลักษณะของงานตลอดระยะเวลาทำงาน

15. ในกรณีที่ลูกจ้างไม่สวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าว ให้นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างหยุดการทำงานนั้นจนกว่าลูกจ้างจะสวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าว

16. ให้ผู้รับเหมาชั้นต้นและผู้รับเหมาช่วงตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานมีหน้าที่ดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของลูกจ้างเช่นเดียวกับนายจ้าง

17. ในกรณีที่พนักงานตรวจความปลอดภัยพบว่า นายจ้าง ลูกจ้างหรือผู้ที่เกี่ยวข้องผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ให้พนักงานตรวจความปลอดภัยมีอำนาจสั่งให้ผู้นั้นหยุดการกระทำที่ฝ่าฝืน แก้ไขปรับปรุง หรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมภายในระยะเวลาสามสิบวัน

18. ในกรณีที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามคำ สั่งของพนักงานตรวจความปลอดภัย ถ้ามีเหตุอันอาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานสมควรเข้าไปดำเนินการแทน ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจสั่งให้พนักงานตรวจ ความปลอดภัยหรือมอบหมายให้บุคคลใดเข้าจัดการแก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามคำสั่งนั้นได้ ในกรณีเช่นนี้ นายจ้างต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าจัดการแก้ไขนั้นตามจำนวนที่จ่ายจริง

19. ให้อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือให้ยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของนายจ้างซึ่งไม่จ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทั้งนี้ เพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าจัดการแก้ไขตามจำนวนที่จ่ายจริง

20. ระหว่างหยุดการทำงานหรือหยุดกระบวนการผลิต เนื่องจากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับการหยุดการทำงานหรือการหยุดกระบวนการผลิตนั้นเท่ากับค่าจ้างหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดที่ลูกจ้างต้องได้รับ เว้นแต่ลูกจ้างรายนั้นจงใจกระทำการอันเป็นเหตุให้มีการหยุดการทำงานหรือหยุดกระบวนการผลิต

21. ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง หรือโยกย้ายหน้าที่การงานของลูกจ้างเพราะเหตุที่ลูกจ้างดำเนินการฟ้องร้องหรือเป็นพยานหรือให้หลักฐานหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานต่อพนักงานตรวจความปลอดภัย หรือคณะกรรมการ ตามพระราชบัญญัตินี้หรือต่อศาล

22. นายจ้าง หรือ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติพระราชบัญญัตินี้หรือมาตรฐานที่กำหนดในกฎกระทรวง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินสี่แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (รายละเอียดโปรดดูในหมวดที่ 8 บทกำหนดโทษ)

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นวัตกรรมใหม่ของระบบความปลอดภัยส่วนบุคคล( The next generation Personal Safety System)

Presentation3
สนใจสินค้าหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ 081-6393504, 081-7768090

EHS Lean (เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการฝึกอบรมด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยด้วย แนวคิด “ลีน (Lean))”


ลีน ลีน ลีน ทำอย่างไรให้การฝึกอบรมด้านอาชีวอนามัย และความปลอดภัยเป็น ลีน หาคำตอบได้ที่นี่



rsz_lean


“ลีน” เป็นเครื่องมือในการบริหารอุตสาหกรรมที่ช่วยในการขจัดความสูญเปล่าในขบวนการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กร นอกจากนี้ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยด้วยการช่วยให้การฝึกอบรมประสบความสำเร็จด้วยต้นทุนที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย

แนวคิดของลีนที่นำมาใช้ในเรื่องของการฝึกอบรมก็คือ “คนเราควรได้รับข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและตรงกับความต้องการจริง ๆ “


การฝึกอบรมแบบลีนนั้น จะมุ่งเน้นที่การเก็บรักษาองค์ความรู้ ไม่ใช่ที่ปริมาณการฝึกอบรม มองไปที่สิ่งที่ผู้เข้าอบรมได้รับจากการอบรมและนำไปใช้ประโยชน์

การฝึกอบรมในห้องอบรมดูจะมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล เมื่อคุณนึกถึงการฝึกอบรมที่มีผู้เข้าอบรมพร้อมกันที่เดียวเป็นจำนวนมาก แต่ทราบหรือไม่จากการศึกษาพบว่าเมื่อเวลาผ่านไปเพียง 1 เดือนความรู้ที่ผู้เข้าอบรมได้รับจากการฝึกอบรมในห้องอบรมจะเหลืออยู่เพียง 20 %

กำหนดความต้องการ

แม้ว่าทักษะบางอย่างการฝึกอบรมแบบกลุ่มจะให้ผลลัพธ์หรือประสิทธิภาพที่ดีกว่า แต่ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาเรื่องนี้ก็เชื่อว่า การอบรมควรกระทำเป็นรายบุคคลและกำหนดให้ตรงกับความจำเป็นมากกว่าที่จะทำการอบรมหลาย ๆ หัวข้อในครั้งคราวเดียวกัน การฝึกอบรมแบบลีนให้ประสิทธิภาพมากกว่าในแง่ของการระบุความจำเป็น เป็นส่วนย่อย ๆ แล้วทำการฝึกอบรมโดยไม่ต้องรอ เช่น การอบรมแบบตัวต่อตัว การอบรมหน้างาน ซึ่งการอบรมโดยวิธีดังกล่าวจะทำให้ผู้ฝึกอบรมมีโอกาสประเมินความรู้และประสบการณ์ของผู้เข้ารับการอบรมก่อนทำการอบรม และจัดการอบรมให้ตรงกับความต้องการได้

ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ


การนำหลักการของลีน มาประยุกต์ใช้กับการฝึกอบรมนั้นจะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพราะพนักงานจะใช้เวลากับกิจกรรมการฝึกอบรมที่ไม่ได้ผลลัพธ์น้อยลง และผู้เข้ารับการอบรมสามารถรักษาองค์ความรู้หรือสิ่งที่ได้เรียนรู้มากขึ้น นำไปประยุกต์ใช้กับงานได้มากขึ้น และมีผลการปฎิบัติงานที่ดีขึ้น

และนอกจากนี้การฝึกอบรมแบบลีนยังช่วยผู้ฝึกอบรมในการจัดการกับปัญหาความหลากหลายในเรื่องความรู้ ประสบการณ์ และผลการปฎิบัติงานของกลุ่มผู้เข้าอบรมอีกด้วย

การนำแนวความคิดแบบลีนมาใช้กับงานฝึกอบรม


เป้าหมายของการถ่ายทอดความรู้แบบลีนคือ “การปรับปรุงผลการปฎิบัติงานในเชิงธุรกิจที่สามารถวัดได้โดยการจัดส่งความรู้ที่คนจำเป็นต้องรู้ ด้วยวิธีการที่เขาชื่นชอบ ในเวลาที่พวกเขาต้องการ”

สำหรับรูปแบบการฝึกอบรมในแบบของลีนนั้นเชื่อว่าต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการดังนี้:

· มีสัญญาณของการเรียนรู้ที่ชัดเจน คนเรามักต้องการที่จะรู้ล่วงหน้าว่าเมื่อไรจำเป็นต้องเรียนหรืออบรม คนเรามักจะทราบหรือเข้าใจขีดความรู้ความสามารถและทักษะของตัวเองเป็นอย่างดี

· ใช้วิธีการ ดึงดูด ไม่ผลักดัน “ ดึงดูด” ให้แต่ละคนทราบถึงความรู้ที่จำเป็นต้องมีเพื่อทำให้งานบรรลุเป้าหมายหรือประสบผลสำเร็จ ดังนั้นกิจกรรมการฝึกอบรมที่จะเป็นตัว”ผลักดัน” ข้อมูลที่จำเป็นให้พวกเขาก็จะทำได้ง่ายขึ้น

· ทันเวลา ทำให้คนสามารถดึงเอาความรู้มาใช้ได้ทันทีเมื่อจำเป็นเพื่อทำให้งานบรรลุเป้าหมาย

· เกิดความพึงพอใจทันที เนื้อหาที่เรียนรู้สอดคล้องกับการนำไปยุกต์ใช้งานได้โดยตรง และเห็นผลทันที

· เรียนรู้เป็นรายบุคคล รูปแบบ จำนวน และอัตราการเรียนรู้ ออกแบบเฉพาะให้เหมาะกับรูปแบบการเรียนรู้ ประสบการณ์ และสถานการณ์ ของแต่ละบุคคล

· มีความสด/ทันต่อเหตุการณ์ เนื้อหาการเรียนรู้ถูกกำหนดหรือสร้างขึ้นทันหรือใกล้เคียงกับเวลาที่ต้องการมากที่สุด ดังนั้นจึงมีความทันสมัย และตรงกับปัญหาที่เผชิญอยู่

เป็นอย่างไรบ้างค่ะกับแนวคิดข้างต้น ท่านผู้อ่านท่านใดที่สนใจลองนำไปปรับใช้ดูน่ะค่ะ และได้ผลเป็นอย่างไรก็อย่าลืมส่งข่าวมาเล่าสู่กันฟังบ้างน่ะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ผู้นำสู่ความปลอดภัยที่เหนือชั้น (Lead to Superior Safety Performance)


ยุคนี้ไปที่ไหนก็มีแต่คนพูดถึงแต่ผู้นำ ผู้นำ และผู้นำ แม้นแต่ในแวดวงความปลอดภัยก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมีผู้นำเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความปลอดภัย แต่จะนำอย่างไรให้เหนือชั้นต้องลองติดตามดู


การเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและเหนือชั้นจะทำให้คุณได้รับความร่วมมือในการปฎิบัติตามข้อกำหนดหริอกฎระเบียบด้านความปลอดภัยจากพนักงาน และแน่นอนผลที่ตามมาก็คือจำนวนอุบัติเหตุและการบาดเจ็บที่ลดลง ดังนั้นลองมาสำรวจความเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยของคุณดูน่ะค่ะ ว่ามีลักษณะเป็นเช่นใด และจะพัฒนาอย่างไรให้เป็นผู้นำที่เหนือชั้น

































































































































































คำถาม


เห็นด้วยอย่ายิ่ง


เห็นด้วย


ไม่

เห็นด้วย


ไม่เห็นด้วย

อย่ายิ่ง


1.ฉันชอบที่จะเห็นพนักงานของฉันค้นหาปัญหาด้านความปลอดภัยและแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง


2.ฉันมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการทำให้องค์กรเป็นองค์กรปลอดอุบัติเหตุ


3.เมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ฉันมักที่จะคิดทบทวนดูว่าการกระทำของฉันมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่


4. ฉันมักจะเข้าไปที่หน้างานหรือพื้นที่ปฎิบัติงานทุกวันเพื่อสังเกตการปฎิบัติงานของพนักงาน


5. ฉันรู้และปฎิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยทั้งหมดและฉันคาดหวังว่าพนักงานของฉันจะปฎิบัติตามเช่นกัน


6. เมื่อฉันต้องการทำความเข้าใจกับประเด็นปัญหาด้านความปลอดภัย ฉันมักจะพูดคุยกับผู้ใต้บังคับบัญชาของฉัน


7. เมื่อฉันเห็นฉันสามารถบอกได้ว่านี่คือตัวอย่างการปฎิบัติด้านความปลอดภัยที่ดี และฉันมักจะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับรู้เช่นเดียวกับฉัน


8.พนักงานของฉันสามารถเข้าถึงเครื่องมือ และอุปกรณ์ที่ต้องการเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างปลอดภัย


9.ฉันเรียนรู้ว่าผู้ที่มีความรู้ในงานมากที่สุดมักจะเป็นผู้ทีปฎิบัติงานนั้น ๆ


10.ฉันมักจะทราบสถานะหรือความเป็นไปของโครงการด้านความปลอดภัย และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ทราบว่าเป็นอย่างดีว่าฉันรู้สึกอย่างไรกับความเป็นไปเหล่านั้น


11. เรามักจะได้รับผลตอบรับในทางบวกกับสิ่งที่เราได้ลงทุนไปกับเรื่องความปลอดภัย


12. ฉันสนุกกับการเข้าร่วมประชุมความปลอดภัย และรู้สึกดีกับผลลัพธ์ที่ได้


13. ฉันรู้ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น มันเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมกับปัญหาที่เกิดขึ้น


14.ฉันมีความรู้ด้านความปลอดภัยเพียงพอที่จะสามารถพูดคุยกับพนักงาน หรือจัดอบรมให้กับพนักงานได้


15.ฉันมักจะมองหาสิ่งดี ๆ ที่พนักงานปฎิบัติ และยกย่องชมเชยในสิ่งที่พวกเขาปฎิบัติ


16. ฉันรู้ว่าทุกคนสามารถทำผิดพลาดได้และฉันจะใช้เป็นโอกาสในการเรียนรู้และก้าวไปข้างหน้า


17. หนึ่งในความพึงพอใจสูงสุดของฉันคือการได้เดินไปรอบ ๆ พื้นที่ปฎิบัติงานและเรียนรู้จากพนักงานของฉัน


18. ฉันมีความกังวลกับการสร้างค่านิยมด้านความปลอดภัยที่ถูกต้อง มากกว่าการสร้างกฎระเบียบความปลอดภัย


19.ฉันเห็นการทำงานเป็นทีมในทุก ๆ ที่ภายในองค์กรของฉัน


20. หากพนักงานของฉันรู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรเพื่อความปลอดภัย ฉันมักจะบังคับให้พวกเขาปฎิบัติ หากพวกเขาไม่รู้ฉันมักจะสอนพวกเขา


21.ฉันมักจะสนับสนุนคนดีภายในองค์กรฉัน


22.พนักงานของฉันมีส่วนร่วมและสนับสนุนวิสัยทัศน์ด้านความปลอดภัยของฉัน


23.ฉันรู้ว่าการกระทำของฉันมีความสำคัญมากกว่าคำพูด ดังนั้นฉันมักจะแสดงให้เห็นว่าความปลอดภัยคือกุญแจสำคัญในการสร้างค่านิยมให้กับองค์กร


24.ก่อนที่ฉันจะส่งพนักงานไปเข้าอบรมฉันมักจะเข้าร่วมด้วย เพื่อที่ฉันจะได้ สนับสนุน และส่งเสริมพวกเขาภายหลังการอบรมได้


25.ฉันรู้ว่าพนักงานของฉันให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในฐานะค่านิยมหลักขององค์กร ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากฉันให้ดำเนินการด้านความปลอดภัย


การให้คะแนน


4 คะแนน สำหรับข้อที่เห็นด้วยอย่ายิ่ง


3 คะแนน สำหรับข้อที่เห็นด้วย


2 คะแนน สำหรับข้อที่ไม่เห็นด้วย


1 คะแนน สำหรับข้อที่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง


คะแนนของคุณบ่งบอกอะไรบ้าง?


ยิ่งคะแนนของคุณเข้าใกล้ 100 มากเท่าใด ก็แสดงว่าภาวะผู้นำด้านความปลอดภัยของคุณยิ่งมีมากเท่านั้น


หากคะแนนของคุณมากกว่าหรือเท่ากับ 75 แสดงว่าคุณมีการบริหารที่เป็นธรรม ให้อำนาจกับทีมงาน และทีมงานมองว่าคุณคือผู้นำ ดังนั้นมันเป็นโอกาสที่คุณจะปรับปรุงในข้อที่คุณมีคะแนนต่ำกว่า 4 คะแนน โดยการให้พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งอาจป็นเรื่องที่ทีมงานคุณให้ความสนใจและพร้อมที่จะสนับสนุนอยู่แล้ว และมันก็จะทำให้ได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย


การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างต้องเริ่มที่ตัวผู้นำ หากต้องการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่วัฒนธรรมที่ปลอดภัยอย่างยั่งยืนได้ประโยชน์ทั้งพนักงานและองค์กร ก็ลองค่อย ๆ ปรับปรุงและพัฒนาความเป็นผู้นำในตัวคุณให้เป็นไปในแนวทางตามแบบสอบถามดูน่ะค่ะ และหากได้ผลเป็นอย่างไรก็สามารถแบ่งปันประสบการณ์กันได้ค่ะ

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

6 ยุทธวิธีในการปรับปรุงทัศนคติด้านความปลอดภัย (6 Strategies to Improve Worker Safety Attitudes)


rsz_1safeattitude


การพัฒนาและดำรงค์ไว้ซึ่งทัศนคติที่ดีด้านความปลอดภัยนับเป็นหัวใจหลักของความปลอดภัยในสถานประกอบการ ดังนั้นนการพัฒนาให้มี หรือการสร้างยุทธวิธีพื้นฐานดังต่อไปนี้ จะช่วยให้เราสามารถลดอันตราย ป้องกันอุบัติเหตุ ทำให้สถานที่ทำงานมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และยังเป็นการเสริมสร้างให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีด้านความปลอดภัยอีกด้วย

1 การพูดถึงเรื่องความปลอดภัย ยิ่งเรามีการส่งเสริม สนับสนุนให้มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของความปลอดภัยทั้งในระดับผู้บริหาร หัวหน้างาน และระดับพนักงาน มากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้องค์กรมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น

2 สนับสนุนให้มีการเสนอแนะด้านความปลอดภัย ในการปฎิบัติงานประจำวันพนักงานผู้ปฎิบัติงานนั้น ๆจะเป็นผู้ที่รู้มากที่สุดในงานที่พวกเขาทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานที่มีประสบการณ์ ดังนั้นฟังพวกเขา และให้พวกเขาเสนอความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะเพื่อให้การทำงานของพวกเขาและคนอื่น ๆ มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งวิธีการนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการทำให้สภาพการทำงานมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้นแต่ยังทำให้พนักงานมีส่วนร่วมในขบวนการปรับปรุงด้วย

3 รีบดำเนินการแก้ไขปัญหาความไม่ปลอดภัย เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้ว่ามีสภาพที่ไม่ปลอดภัยให้รีบดำเนินการแก้ไขปัญหาทันที หากเราไม่รีบแก้ไขปัญหาพนักงานจะเข้าใจว่าเราไม่ให้ความสนใจ และจะพลอยทำให้พวกเขาไม่ให้ความสนใจไปด้วย

4 ให้การฝึกอบรมด้านความปลอดภัยและข้อมูลด้านความปลอดภัย มั่นใจว่าพนักงานมีทักษะ ความรู้ ความเข้าใจที่จำเป็นในการทำงานให้ปลอดภัย พนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดีจะสามารถพัฒนาทัศนคติที่ดีด้านความปลอดภัยได้รวดเร็วและให้ความสำคัญกับความปลอดภัย

5 ให้รางวัลกับการปฎิบัติงานที่ปลอดภัย เมื่อพนักงานทำในสิ่งที่ปลอดภัย หรือเสนอแนะความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงด้านความปลอดภัย ให้ประกาศ ยกย่อง ให้ทุกคนได้ทราบ เมื่อพนักงานคนอื่น ๆ เห็นจะได้มีความรู้สึกอยากทำตาม และกำหนดให้เรื่องความปลอดภัยเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผลงานประจำปี เมื่อพนักงานตระหนักว่าการประเมินผลการปฎิบัติงานของพวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยจะทำให้พวกเขาจะให้ความสนใจและใส่ใจมากขึ้น

6 เป็นตัวย่างที่ดี ต้องมั่นใจว่าผู้บริหารและหัวหน้างานในองค์กรเป็นตัวอย่างที่ดีและมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับความปลอดภัยเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพนักงานได้

ลองสำรวจตัวเองดูนะค่ะว่า องค์กรของท่านมีกลยุทธ์พื้นฐานดังกล่าวข้างต้นแล้วหรือยัง

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

การควบคุมสภาวะบรรยากาศภายในสถานที่อับอากาศ (How to control confined space atmosphere)

confined3

อันตรายหลัก ๆ ของการทำงานในสถานที่อับอากาศคือสภาวะหรือบรรยากาศที่เป็นอันตราย ด้วยเหตุนี้การตรวจวัดและควบคุมสภาวะบรรยากาศภายในสถานที่อับอากาศจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยป้องกันตัวผู้ปฎิบัติงาน ซึ่งวิธีการควบคุมต่าง ๆ ก็ขึ้นอยู่กับอันตรายที่อาจพบ และลักษณะของงานที่ปฎิบัติ ภายในสถานที่อับอากาศ

การทำให้เฉื่อย

วิธีการหนึ่งที่ใช้ในการควบคุมสภาวะบรรยากาศเรียกว่า “การทำให้เฉื่อย” การทำให้เฉื่อยนี้จะช่วยควบคุมโอกาสการเกิดการระเบิด หรืออัคคีภัย โดยการเแทนที่เชื้อเพลิงหรือออกซิเจนด้วยก๊าซที่ไม่ติดไฟ ก๊าซที่ไม่ติดไฟที่นิยมใช้ ได้แก่ ไนโตรเจน อาร์กอน และคาร์บอนไดออกไชด์

การฟอก หรือการระบายอากาศ

ในขณะที่การเติมสารเฉื่อยมีประโยชน์ในการป้องกันการเกิดอัคคีภัย หรือการระเบิด แต่สารเหล่านั้นเป็นสารที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ทำให้เกิดสภาวะหายใจลำบาก หรือหายใจไม่ออก หมายความว่ามันจะทำให้เรามีปัญหาเรื่องการหายใจ ซึ่งอาจทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้ โดยที่เราไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้ทั้งการฟอกอากาศ หรือการระบายอากาศจะต้องกระทำหลังจากการเติมสารเฉือย เพื่อทำให้สภาวะบรรยากาศกลับสู่สภาวะทีมีอากาศหายใจปกติ การฟอกอากาศ หมายถึง การเติม/เพิ่มอากาศที่ใช้ในการหายใจเข้าไป ส่วนการระบายอากาศจะคล้ายกับการฟอกอากาศคือการเพิ่ม/เติมอากาศที่ใช้ในการหายใจเข้าไป แต่ต่างกันที่อากาศที่ปนเปื้อนจะถูกระบายออกมาด้วย

การควบคุมสภาวะบรรยากาศในสถานที่อับอากาศจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละสถานที่อับอากาศ และมักจะมีการระบุไว้ในขั้นตอนการเตรียมการก่อนเข้าไปปฎิบัติงานในสถานที่อับอากาศ

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการปฎิบัติงาน จึงควรศึกษาคุณลักษณะหรือสภาพของสถานที่อับอากาศนั้น ๆ ก่อนเข้าไปปฎิบัติงานเสมอ

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

Confined Space Hazard (อันตรายที่อาจเกิดขึ้นภายในสถานที่อับอากาศ)

confine

อันตรายที่อาจเกิดขึ้นภายในสถานที่อับอากาศ ประกอบไปด้วย

1. สภาพแวดล้อมทางกายภาพ สภาพแวดล้อมทางกายภาพภายในสถานที่อับอากาศสามารถทำให้เกิดอันตรายเหล่านี้ได้

อุณหภูมิ ความร้อนสามารถที่จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้ภายในสถานที่อับอากาศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความอ่อนเพลีย และอาจหมดสติ

เสียง เสียงอาจทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและส่งผลให้ระบบการได้ยินถูกทำลาย หรือระดับเสียงที่ดังอาจทำให้ไม่ได้ยิน หรือพลาดคำเตือนหรือคำแนะนำที่สำคัญๆ

ระบบท่อและวาล์ว จะต้องถูกปิด, ถูกล๊อค หรือต้องว่างเปล่า เพราะหากของเหลวหรือก๊าซเข้าไปอาจทำให้เกิดอันตรายได้

ท่าทางในการทำงาน การที่ต้องทำงานบนนั่งร้าน บนบันได หรือพื้นที่ลาดชันอาจทำให้เกิดการพลัดตกจากที่สูงได้

อุปกรณ์ไฟฟ้า สายไฟที่มีกระแสไฟฟ้าอยู่ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้อาจเป็นอันตรายได้

2. ปริมาณออกซิเจนที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป

ปริมาณออกซิเจนที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป จัดเป็นอันตรายที่สำคัญสำหรับสถานที่อับอากาศ

ปริมาณออกซิเจนที่ไม่เพียงพอ หรือน้อยเกินไป อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุดังนี้

  • อัคคีภัยหรือการระเบิด ปริมาณออกซิเจนที่มีอยู่จะถูกใช้ไปเพื่อการเผาไหม้
  • การถูกแทนที่ ออกซิเจนสามารถถูกแทนที่ด้วยก๊าซอื่น ๆ เช่น อาร์กอน, คาร์บอนไดออกไซด์ หรือไนโตรเจน ได้
  • สนิม เมื่อโลหะเป็นสนิม จะต้องใช้ออกซิเจนในอากาศ.ในการทำให้เกิดสนิม

ปริมาณออกซิเจนที่มีมากเกินไปในอากาศเป็นอันตราย เนื่องจากอาจทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้

  • อัคคีภัยสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายในอากาศที่มีปริมาณออกซิเจนมากกว่า 23.5%
  • น้ำมันถ้าอยู่ในที่ที่มีออกซิเจนบริสุทธิ์ จะสามารถลุกไหม้ได้ด้วยตนเอง

เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงอันตรายต่าง ๆ เหล่านี้ เราจึงต้องมีการตรวจวัดสภาพบรรยากาศภายในสถานที่อับอากาศทุกครั้งก่อนเข้าไปปฎิบัติงาน

3. สารปนเปื้อนสารที่เป็นพิษ

สารที่เป็นพิษเป็นอีกหนึ่งอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในการเข้าไปปฎิบัติงานในสถานที่

อับอากาศ หลาย ๆ ครั้งที่เราไม่สามารถมองเห็น หรือได้กลิ่นสารที่เป็นพิษ แต่สารที่เป็นพิษเหล่านั้นก็ยังคงมีอยู่ ทางที่สารที่เป็นพิษจะสามารถทำอันตรายเราได้มีอยู่ 2 ทางคือ

การระคายเคือง โดยสารจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ ( ลำคอ ปอด) หรือระบบประสาท ถ้าการระคายเคืองมีมากเกินไปอาจทำให้เสียชีวิตได้

การสำลักสารเคมี สารที่เป็นพิษบางชนิดมีความสามารถในการลดปริมาณออกซิเจนที่เราหายใจเข้าไป หรือปริมาณออกซิเจนที่เข้าสู่ปอดเรา ทำให้ปอดทำงานได้ไม่เต็มที่

สารที่เป็นพิษที่เรารู้จักกันดีว่ามีความเป็นอันตรายภายในสถานที่อับอากาศ ได้แก่ คาร์บอนมอนนอกไซด์, ไฮโดรเจนซัลไฟด์, ซัลเฟอร์ไดออกไซด์

ด้วยความเป็นอันตรายดังกล่าว ดังนั้นทุกครั้งที่ต้องเข้าไปปฎิบัติงานในสถานที่อับอากาศ ต้องมั่นใจว่าเรารู้ หรือมีข้อมูลในสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้

  • วัสดุ/สารที่เป็นอันตรายที่อาจมี หรือ พบ
  • วัสดุ/สารที่เป็นอันตรายที่เคยพบก่อนหน้านี้
  • ความเป็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพ
  • ระดับของวัสดุ/สารที่ป็นอันตรายที่อนุญาตให้เข้าไปปฎิบัติงานได้
  • อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่จำเป็นต้องใช้

4. การถูกดูด/กลืน เข้าไป

ด้วยคุณลักษณะทางกายภาพของสถานที่อับอากาศ ทำให้การถูกดูด/กลืน เข้ไป เป็นอันตรายอย่างหนึ่ง เนื่องจากอาจทำให้เกิดภาวะหายใจไม่ออก หรือหายใจลำบาก โดยการถูกดูด/กลืน เข้าไป อาจเกิดขึ้นจากการถูกของเหลวกระแทกใส่อย่างแรงและรวดเร็ว หรือถูกทับด้วยวัตถุที่เป็นของแข็ง

วัสดุที่อาจทำให้เกิดความป็นอันตรายจากการถูกดูด/กลืน เข้าไป ประกอบด้วย

  • ทราย
  • ซีเมนต์
  • ผงแป้ง
  • เมล็ดข้าว

ดังนั้นไม่อนุญาตให้มีการปฎิบัติงานในสถานที่อับอากาศ หากพบว่ามีโอกาสเกิดอันตรายจากการถูดดูด / กลืนเข้าไป ดังกล่าว

5 สภาวะ/บรรยากาศ ที่ทำให้เกิดการระเบิดหรือการเผาไหม้

อัคคีภัย หรือการระเบิดสามารถเกิดขึ้นได้ภายในสถานที่อับอากาศ จากองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง เช่น

  • สารเคมี
  • ผลิตภัณฑ์ปิโตเลียม
  • สารตัวทำละลาย
  • ปริมาณออกซิเจนที่มีมากเกินไป

ไอระเหย หรือก๊าซที่เกิดขึ้นภายในสถานที่อับอากาศ มีโอกาสลุกติดไฟได้เนื่องจาก

  • ประกายไฟจากเครื่องจักร
  • การเชื่อม การตัด
  • ไฟฟ้าสถิตย์
  • ควัน หรือ การสูบบุหรี่
  • การเสียดสี

ด้วยคุณลักษณะทางกายภาพของสถานที่อับอากาศดังกล่าวข้างต้น ทำให้การเกิดอัคคีภัย หรือการระเบิดทวีความเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการหลบหนี และการช่วยชีวิต จะทำได้ยาก