หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Is back support necessary for employee? (พนักงานที่ยกเคลื่อนย้ายของหนักจำเป็นต้องใส่เข็มขัดพยุงหลังหรือไม่ ?)

เข็มขัดพยุงหลัง (back support) นับวันพนักงานในสถานประกอบกิจการยิ่งมีความนิยมนำมาสวมใส่เสมือนเป็นอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลเช่นเดียวกับหมวกหรือรองเท้านิรภัยที่ใช้ในขณะทำงานมากขึ้นทุกที

เข็มขัดพยุงหลังมีประโยชน์ในพนักงานที่ได้รับบาดเจ็บและกำลังฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อกลับเข้าทำงานเดิม การใส่จะมีประโยชน์มากในช่วงแรก เพื่อลดอาการเจ็บ แต่ควรจะใช้ในช่วงเวลาสั้นๆ

การที่คิดว่าการใส่เข็มขัดพยุงหลังแล้วจะป้องกันอาการปวดหลังได้นั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะการป้องกันอาการปวดหลังจากการทำงาน ต้องอาศัยการจัดสภาพการทำงานให้เหมาะสม น้ำหนักวัตถุที่จะยกไม่หนักเกินกำลัง เมื่อใดที่ยกของหนักเกินกำลังของตนเอง และต้องบิดตัวขณะยก ไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เข็มขัดพยุงหลังก็จะมีโอกาสปวดหลังได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น พนักงานที่ไม่มีอาการบาดเจ็บหรือปวดหลังไม่จำเป็นต้องใส่เข็มขัดพยุงหลัง นอกจากสิ้นเปลืองแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพร่างกายดังนี้

(1) กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวทำงานลดลง

เข็มขัดพยุงหลังในทางการแพทย์จะใช้พยุงหลังบรรเทาอาการปวด ในกรณีที่กระดูกสันหลังเคลื่อนหรือหลังผ่าตัดหลัง เพื่อช่วยทำงานแทนกล้ามเนื้อหลังที่อ่อนแอไปหลังจากการผ่าตัด และทำให้การซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บเร็วขึ้น เพราะกล้ามเนื้อทำงานน้อยลง แต่การใส่ระยะยาวจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวทำงานลดลง

มีการศึกษาในหลายประเทศ พบว่า อัตราการบาดเจ็บหรือปวดหลังระหว่างพนักงานที่ใส่เข็มขัดพยุงหลังกับพนักงานที่ไม่ใส่ มีอัตราที่ไม่แตกต่างกัน แต่พนักงานที่ใส่เข็มขัดพยุงหลังมีการบาดเจ็บที่รุนแรงมากกว่า เนื่องจากพนักงานที่ใส่เข็มขัดพยุงหลังจะรู้สึกมั่นใจมากเมื่อยกของหนัก คิดว่าตนเองมีความปลอดภัยแล้ว ความมั่นใจนี้จะมีผลเสียทำให้ยกของหนักโดยไม่ระมัดระวังเท่ากับในขณะที่ไม่ได้ใส่เข็มขัดพยุงหลัง

(2) เกิดไส้เลื่อน ริดสีดวงทวาร เส้นเลือดขอด และความดันเลือดเพิ่มขึ้น

ได้มีการศึกษาโดยการตรวจวัดความดันเลือดของพนักงานที่ใส่เข็มขัดพยุงหลังในขณะยกของหนัก นั่ง และทำงานเบา พบว่า การใส่เข็มขัดพยุงหลังทำให้ความดันเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งอธิบายได้ว่า การใส่เข็มขัดพยุงหลังจะมีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น ปริมาณเลือดที่ไหลกลับเข้าหัวใจเร็วขึ้น ทำให้ความดันเลือด

เพิ่มขึ้น ผู้ที่มีความดันเลือดสูงอยู่แล้วก็จะสูงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผลระยะยาวจากการใส่เข็มขัดพยุงหลังที่ทำให้ความดันในช่องท้องสูงนานๆ อาจทำให้เกิดไส้เลื่อน ริดสีดวงทวาร เส้นเลือดขอดที่ขาและถุงอัณฑะได้

สาเหตุของการปวดหลังจากการทำงาน

อาการปวดหลังจากการทำงานเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มพนักงานที่ทำงานในสถานประกอบกิจการ ซึ่งมักมีอาการปวดที่บริเวณเอวและหลัง เมื่อพักผ่อนก็จะมีอาการดีขึ้น แต่เมื่อเริ่มเคลื่อนไหวทำงาน ก็จะเริ่มมีอาการปวดหลังขึ้นอีก อาการปวดหลังเรื้อรังนี้จะส่งผลไปถึงการหยุดงาน การสูญเสียรายได้ การเสียค่ารักษาพยาบาล

สาเหตุอาการปวดหลังของคนกลุ่มนี้ มักเกิดจากต้องคร่ำเคร่งกับการทำงาน ก้มตัวยกของหนัก ทำงานอยู่ในท่าเดียวกันนานๆ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อ มีรายงานประเทศอุตสาหกรรม มีอุบัติการณ์ของอาการปวดหลังสูง เช่น สหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยปวดหลัง ร้อยละ 5 ของประชากรวัยทำงานทั้งหมด สำหรับประเทศไทยในแต่ละปีพนักงานในสถานประกอบกิจการประสบปัญหาบาดเจ็บจากการทำงานที่มีสาเหตุจากท่าทางการทำงาน และการยกเคลื่อนย้ายของหนักด้วยการใช้แรงคน จนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ทำกายภาพบำบัดมีจำนวนสูงขึ้นทุกปี เช่น ปีพ.ศ. 2549 มีจำนวน 1251 ราย ปีพ.ศ. 2550 มีจำนวน 2395 ราย ปีพ.ศ. 2551 มีจำนวน 5925 ราย ตามลำดับ (สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม)

การป้องกันอาการปวดหลัง

อาการปวดหลังนี้ แพทย์และนักกายภาพบำบัดเป็นเพียงผู้ช่วยให้อาการปวดทุเลา ซึ่งอาจกลับเป็นได้อีก แต่การปวดหลังนี้สามารถที่จะป้องกันได้ โดยการปฏิบัติดังนี้

(1) การยกของหนัก ท่าทางในการยกต้องทำให้ถูกวิธีโดยยืนให้ชิดสิ่งของที่จะยก ย่อเข่าให้หลังเป็นแนวตรง แขนแนบชิดลำตัว และอย่ายกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเกินไป

(2) หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่าเดียวนานๆ โดยเฉพาะท่านั่ง

(3) การยืนทำงานนานๆ ควรมีที่พักเท้า

(4) อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกินไป ซึ่งมีเกณฑ์มาตรฐานดังนี้

เพศชาย : ส่วนสูง (เซนติเมตร) – 105 = น้ำหนัก ±10กิโลกรัม

เพศหญิง: ส่วนสูง (เซนติเมตร) – 110 = น้ำหนัก ± 10 กิโลกรัม

เช่น เพศชาย สูง 170 เซนติเมตร น้ำหนักควรอยู่ระหว่าง 65 ± 10 กิโลกรัม (55 –75 กิโลกรัม) เป็นต้น

(5) ออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องและหลังแข็งแรง เช่น การใช้วิธีนอนคว่ำ นำหมอนหนุนใต้ท้อง ค่อยๆยกศีรษะขึ้น ค้างไว้ 3– 5 วินาที แล้วค่อยๆลดศีรษะลง โดยทำซ้ำ 5 – 10ครั้ง เป็นต้น

(6) เมื่อมีอาการปวดหลัง อาจใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางบริเวณที่ปวดนาน 20– 30นาที แต่ถ้ามีอาการปวดร้าวลงขา อาจเกิดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ควรรีบไปปรึกษาแพทย์

ที่มา: งานการยศาสตร์แรงงาน ฝ่ายพัฒนาความปลอดภัย สถาบันความปลอดภัยในการทำงาน

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

What is Your Safety Level? (คุณมีความปลอดภัยอยู่ในระดับใด)

 

คำถามต่อไปนี้จะช่วยประเมินว่าคุณมีความปลอดภัยในระดับอยู่ในระดับใด โดยให้คุณเลือกคำตอบที่ตรงกับตัวคุณมากที่สุดเพียงคำตอบเดียว

คำแนะนำ : จงซื่อสัตย์กับตนเองแล้วคุณจะได้ประโยชน์จากการทำแบบสอบถามนี้

 

คำถาม

ทำบ่อย/
ทำทุกครั้ง

ทำเป็นบางครั้ง

ไม่เคยทำ

1.ฉันเล่นเวลาพัก หรือหลังเลิกงาน

     

2. ฉันอ่านฉลากก่อนใช้สารเคมี

     

3.ฉันใช้เครื่องมือที่ถูกต้องเหมาะสมกับงานแม้ว่ามันจะใช้เวลามากกว่า

     

4.ฉันทำความสะอาดสารเคมีที่หกรั่วไหลทันที

     

5.ฉันทำความสะอาดสารเคมีที่หกรั่วไหลทันที

     

6. ฉันมาทำงานด้วยความมีสติ

     

7.ฉันรายงานสิ่งที่เป็นอันตราย/ไม่ปลอดภัยทันที

     

8 ฉันศึกษาข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัยก่อนปฎิบัติงาน

     

9. ฉันถอดปลั๊กอุปกรณ์/เครื่องมือ ก่อนทำความสะอาด

     

10 ฉันถอดปลั๊กอุปกรณ์/เครื่องมือ ก่อนทำความสะอาด

     

11.เมื่อฉันโกรธ ฉันจะหยุดพัก

     

12.ฉันจัดพื้นที่ทำงานฉันให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

     

13.ฉันเก็บรักษาเครื่องมือฉันให้อยู่ในสภาพดี

     

14.ฉันรู้ว่าต้องปฎิบัติอย่างไรในกรณีฉุกเฉิน

     

15 ฉันระมัดระวังในการจุดไฟแช๊ก และการทิ้งบุหรี่

     

 

การให้คะแนน: 3 คะแนน สำหรับข้อที่ตอบ “ทำบ่อย”

            2 คะแนน สำหรับข้อที่ตอบ “ทำเป็นบางครั้ง”

                    1 คะแนน สำหรับข้อที่ตอบ “ไม่เคยทำ”

คะแนนรวมของคุณ:

มากกว่า 40 คูณมีทัศนคติและการปฎิบัติที่ปลอดภัยดีมาก

30 – 40 ดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นถ้าคุณสามารถ เปลี่ยน

การกระทำที่ “ทำบางครั้ง” เป็น “ทำบ่อย”

ต่ำกว่า 30 คุณต้องเปลี่ยนแปลงการกระทำหลายอย่าง

เพื่อให้คุณปลอดภัย คูณควรจะเลือกการกระทำ

ที่ไม่ปลอดภัยของคูณ 3 เรื่อง แล้วลงมือเปลี่ยนแปลงทันที

Sitting too Long…May Get Hurt!!! (นั่งนาน ๆ .... อาจตายได้!!!)

clip_image002clip_image002

แพทย์เชื่อว่าอาการเลือดจับตัวเป็นก้อนลิ่มในเส้นเลือดของผู้ป่วยใกล้ตายรายหนึ่ง มีสาเหตุมาจากการที่เขาใช้เวลานั่งทำงานอย่างต่อเนื่องกับคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (PC) นานเกินไปโดยไม่ได้มีการขยับร่างกาย หรือลุกออกไปไหนเลย

มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า คอมพิวเตอร์ส่วนตัว(PC) สามารถทำให้คุณตายได้...เราไม่ได้พูดถึงเกมส์ตายที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากอดอาหารและน้ำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันแต่เราหมายถึงใครก็ตามที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้เวลาหลายชั่วโมงนั่งอยู่กับโต๊ะคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทนักวิจัยที่ประเทศนิวซีแลนด์พบว่า การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมงติดต่อกันอาจทำให้เลือดแข็งตัวเป็นก้อนลิ่ม โดยจะเป็นอันตรายถึงตายได้ลักษณะจะคล้ายๆ กับการเกิดอาการที่เรียกกันว่า DVT (Deep-Vein Thrombosis) ซึ่งเกิดจากการนั่งเครื่องบินในระยะทางไกลๆ หรือ

ข้ามทวีป โดยเฉพาะการนั่งชั้นราคาประหยัดบางครั้งจึงเรียกอาการนี้ว่า “Economy-class Syndrome”ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยที่ได้ข้อมูลว่า ชายวัย 32 ปีผู้หนึ่งที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเทอร์มินัลคอมพิวเตอร์ประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวันซึ่งมีอาการโคม่า เนื่องจากเกิดอาการเลือดจับตัวเป็นก้อน โดยก้อนเลือดที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในบริเวณขาของเขาก่อนที่จะแตกกระจายและเดินทางไปยังปอดทั้งสองของเขาอีกทีหนึ่งอาการที่เรียกว่า DVT นี้จะเกิดขึ้นเมื่อ มีเลือดข้นอยู่ในเส้นเลือดดำซึ่งจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปเป็นก้อนลิ่มอาการเริ่มแรกที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ ขาจะเริ่มบวม ส่วนอาการที่บ่งบอกว่าเป็นอันตรายร้ายแรงจะเกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดแตกออกและเดินทางไปยังหัวใจหรืออวัยวะภายในสำคัญๆซึ่งผลลัพธ์ของอาการที่เกิดขึ้นในขั้นนี้ เป็นสิ่งที่จะไม่อาจคาดเดาได้ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหรือนั่งเดินทางเป็นระยะเวลานาน

• ไม่ควรนั่งทำงานหรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่ได้ลุกไปไหนควรจะกำหนดเวลาที่แน่นอนว่า ในหนึ่งชั่วโมงต้องหยุดพักและลุกจากที่นั่งไปทำอย่างอื่น อย่างน้อย 1-2 ครั้ง

• ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนั่งทำงานหรือนั่งเดินทางเป็นเวลานานๆ ให้เตือนตัวเองตลอดเวลา หากรู้สึกว่าได้นั่งนานเกินไปแล้ว ให้พยายามกระดิกนิ้วเท้าและข้อเท้า พร้อมกับดื่มน้ำเรียกความสดชื่นให้กลับคืนมา แต่ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ จากนั้น ให้ลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบทและยืดแขนขาเพื่อให้หายเมื่อยล้า รวมทั้ง เป็นการพักสายตาไปในตัว

• การใช้ยาแอสไพรินซึ่งช่วยให้เลือดไม่ข้นเกินไปสามารถช่วยได้ระดับหนึ่ง ในกรณีเกิดความเมื่อยล้าค่อนข้างรุนแรงหลังการนั่งติดต่อเป็นเวลานานหลายชั่วโมง แต่หากจะใช้ยานี้เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

• นั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ในลักษณะท่าทางที่ถูกต้องตามหลักเออร์โกโนมิกส์ (อย่างน้อยที่สุด นั่งตัวตรงและมีที่พักเท้าสูงจากพื้นในระดับสบายๆ ไม่เมื่อยขา) จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการ DVT ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านเออร์โกโนมิกส์หลายคนกังวลใจกับการใช้คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊คที่ส่วนใหญ่จะใช้งานในลักษณะท่าทางฝืนธรรมชาติโดยตั้งข้อสังเกต ผู้ใช้โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์จะเสี่ยงต่ออาการผิดปกติที่ว่านี้เป็น 2 เท่า โดยเฉพาะผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในชั้นที่นั่งราคาประหยัดบนเครื่องบินโลว์คอสต์

ที่มา : safetylifethailand