หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Strategy for Safer Jobs (กลยุทธ์สู่การทำงานที่ปลอดภัยกว่า)

วิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีในการพิจารณาว่าขั้นตอนการทำงานนั้น ๆ มีความปลอดภัยกับผู้ปฎิบัติงานหรือไม่ ก็คือการวิเคราะห์อันตรายจากงาน

การวิเคราะห์อันตรายจากงาน เป็นเทคนิคที่ง่าย แต่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมุ่งเน้นที่การระบุ หรือหาอันตรายของงานก่อนที่จะเกิดขึ้น โดยเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฎิบัติงานกับงานที่ทำ เครื่องมือและอุปกรณ์ และสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยมีแนวความคิดว่า เมื่อเราทราบอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากงานที่ทำ เราก็จะสามารถขจัด หรือลดระดับอันตรายให้อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

การวิเคราะห์อันตรายจากงานเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย มีประโยชน์อย่างมาก แม้ว่าจะต้องใช้เวลา โดยเราต้องทำการวิเคาระห์อันตรายของแต่ละงานอย่างระมัดระวัง และทำทุกขั้นตอนของแต่ละงาน นอกจากนี้เรายังต้องมองลึกลงไปถึงประสิทธิภาพการปฎิบัติงานที่ผ่านมาด้วย

.การจัดลำดับความสำคัญของการเลือกงานที่จะทำการวิเคราะห์ควรพิจารณาถึง

  • งานที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุ หรือความเจ็บป่วยสูงสุด
  • ในกรณีที่ไม่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่ผ่านมา ก้ให้พิจารณางานที่มีโอกาสทำให้เกิดอุบัติที่รุนแรงหรือพิการ
  • งานที่หากเกิดความผิดพลาดอันเนื่องจากตัวผู้ปฎิบัติงานแล้วอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บที่รุนแรง
  • เป็นงานใหม่สำหรับผู้ปฎิบัติงาน หรืองานที่มีการเปลี่ยนแปลงขบวนการหรือขั้นตอนการปฎิบัติงาน
  • งานที่มีความซับซ้อนซึ่งต้องมีการจัดทำคู่มือการปฎิบัติงาน)
ขั้นตอนในการวิเคราะห์หาอันตราย

1. การมีส่วนร่วมของผู้ปฎิบัติงาน การให้ผู้ปฎิบัติงาน มีส่วนร่วมในขบวนการวิเคราะห์อันตรายของงานเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะพวกเขาจะมีความเข้าใจงานที่ปฎิบัติเป็นอย่างดี ซึ่งความรู้ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากในการค้นหาอันตราย ช่วยลดปํญหาการสังเกตผิดพลาด และผู้ปฎิบัติงานมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

2. การทบทวนสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ทบทวนการเกิดอุบัติเหตุและการเจ็บป่วย อุบัติเหตุที่ทำให้ทรัพย์สินสียหาย และอุบัติการณ์ที่เกือบเป็นอุบัติเหตุ ให้กับพนักงานได้ทราบ เพราะข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เพียงพอของการควบคุมอันตรายที่มีอยู่ และต้องได้รับการพิจาณาเพิ่มเติม

3.ดำเนินการทบทวนเบื้องต้น ทบทวนถึงอันตรายที่มีอยู่ในปัจจุบันผู้ปฎิบัติงาน ระดมสมองเพื่อหาแนวทางในการขจัดหรือควบคุมอันตรายเหล่านี้ และเมื่อพบว่ามีอันตรายใดที่อาจทำอันตรายกับชีวิตและสุขภาพของพนักงาน ก็ต้องดำเนินการจัดการทันที

4. จัดลำดับความสำคัญ จัดทำรายการของงานที่มีความเป็นอันตรายอยู่ในระดับที่ยอมรับไม่ได้ โดยงานที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด และมีผลกระทบรุนแรงที่สุด ควรนำมาพิจารณาเป็นอันดับแรก

5. จัดทำขั้นตอนของงาน ในการวิเคราะห์หาอันตราย จะต้องแบ่งงานออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ สังเกตและบันทึกการปฎิบัติงานของผู้ปฎิบัติงานในแต่ละขั้นตอนโดยต้องมั่นใจว่าได้บันทึกข้อมูลมากพอที่จะอธิบายถึงการทำงานในแต่ละขั้นตอนได้โดยไม่ใส่รายละเอียดที่มากเกินไป ไม่ควรแบ่งขั้นตอนของงานให้แยกย่อยเกินไป หรือหยาบเกินไป ทำการทบทวนการทำงานแต่ละขั้นตอนกับผู้ปฎิบัติงานเพื่อให้มั่นใจว่าครอบคลุมทุกขั้นตอน และยังแสดงเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณทำการประเมินผลงานตัวเองไม่ใช่ผลการปฎิบัติงานของผู้ปฎิบัติงาน

6. การระบุอันตราย จัดทำรายการของอันตรายที่พบในขั้นตอนที่ 3 รวมถึงอันตรายที่พบเพิ่มเติมในขั้นตอนการสังเกตการทำงานของผู้ปฎิบัติงาน (ขั้นตอนที่ 5)

และนอกจากนี้

ต้องมั่นใจว่าผู้ปฎิบัติงานได้มีส่วนร่วมในการในทุกขั้นตอนของการวิเคราะห์หาอันตราย โดยการทบทวนขั้นตอนการปฎิบัติงาน และการเสนอแนะแนวทางในการควบคุมอันตราย

บางครั้งการถ่ายภาพ หรือวีดีโอในขณะที่ผู้ปฎิบัติงานกำลังปฎิบัติงาน จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างมากในการวิเคราะห์หาอันตราย

หนทางสู่การทำงานที่ปลอดภัยกว่า

ไม่ยากอย่างที่คิด ขอเพียงได้เริ่มต้น”

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Hearing Hazards (อันตรายจากการได้ยิน)

เสียงใครคิดว่าไม่อันตราย เสียงบางชนิดอาจทำให้คนเราถึงกับสูญเสียการได้ยินได้ มีเสียงอยู่ 2 ประเภทที่เราควรต้องหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ หรือสัมผัสเป็นเวลานาน ๆ ได้แก่

เสียงที่ดังมากมาก เสียงประเภทนี้จะทำให้การสูญเสียการได้ยินเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้แก่

• เสียงยิงปืน , ˜ เสียงแตรรถยนต์

• เสียงประทัด, ˜ เสียงเครื่องบินไอพ่น

เสียงที่ดังระดับปานกลางแต่สัมผัสเป็นเวลานาน เสียงประเภทนี้สามารถทำให้สูญเสียการได้ยินถ้าต้องสัมผัสเป็นเวลา 4-8 ชั่วโมงต่อวัน หรือสัมผัสบ่อย ๆ ได้แก่

• เสียงจากเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการไม้ งานขุดเจาะ งานขัดงานเจียรต่าง ๆ

• เสียงดนตรีที่ดังมาก ๆ

• เสียงยานยนต์จากท้องถนน

• เสียงจากเครื่องดูดฝุ่น และเครื่องจักรอื่น ๆ

เราควรต้องทำอย่างไร

• ทราบระดับความดังเสียงในบริเวณที่เราปฎิบัติงานอยู่

• ป้องกันตนเองโดยการสวมที่อุดหู หรือปลั๊กลดเสียง

• ในแต่ละวันควรหาเวลาอยู่ในที่เงียบ ๆ บ้าง

• ตรวจเช็คสมรรถภาพหูเป็นประจำอย่าน้อยปีละ 1 ครั้ง

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Confine Space Safety Golden Rules (กฎเหล็กเพื่อความปลอดภัยในการปฎิบัติงานในสถานที่อับอากาศ)

จากสถิติพบว่าในแต่ละปีจะมีรายงานการเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับสถานที่อับอากาศเกิดขึ้นบ่อยมาก และการเกิดแต่ละครั้งก็มักจะมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากสาเหตุ หลักๆ ดังนี้

· ขาดการระบายอากาศตามธรรมชาติ

· ปริมาณออกซิเจน ในบรรยากาศมีไม่เพียงพอ

· มีสารไวไฟหรือสารที่ระเบิดไอยู่ในบรรยากาศ

· มีอันตรายอื่น ๆ ที่เราไม่คาดคิด

· มีทางเข้าออกที่จำกัด

· มีสารที่เป็นอันตรายปนเปื้อนในบรรยากาศในปริมาณที่สูง

· มีข้อจำกัดเรื่องการเคลื่อนไหว

และพบว่า 3 องค์ประกอบต่อไปนี้มักจะขาดหายไปเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นในสถานที่อับอากาศ

1. ขาดการตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทั้งของพนักงานผู้ปฎิบัติงานและ หัวหน้างาน

2. ขาดการตรวจวัดและประเมินสภาพแวดล้อมก่อนเข้าไปปฎิบัติงาน และการตรวจติดตามหลังจากเข้าไปปฎิบัติงานแล้ว

3. ขาดแผนงานและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพในการช่วยชีวิต หรือกู้ชีพ

การฝึกอบรม

การตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นการฝึกอบรมจึงควรเน้นไปที่เรืองของอันตรายที่อาจเกิดขึ้นภายในสถานที่อับอากาศ และข้อควรปฎิบัติ ในการป้องกันการบาดเจ็บและอุบัติเหตุ ผู้ฝึกสอนควรเน้นไปที่เรื่องของการเสียชีวิตซึ่งมักจะเป็นผลลัพธ์ของการเกิดอุบัติเหตุในสถานที่อับอากาศ

การตรวจวัด

การตรวจวัดสภาพแวดล้อม การประเมิน และการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน มากกว่าครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตในสถานที่อับอากาศเกิดจากสถาพบรรยากาศที่เป็นอันตราย เช่น การมีไอระเหยของสารพิษที่เป็นอันตราย การขาดออกซิเจน ดังนั้นควรมีการการตรวจวัดสถาพแวดล้อมภายในสถานที่อับอากาศก่อนเข้าไปปฎิบัติงานโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรู้ เพื่อประเมินว่ามีความปลอดภัยในการเข้าไปปฎิบัติงานหรือไม่ การตรวจวัดควรตรวจวัดปริมาณออกซิเจน ปริมาณสารไวไฟ และสารที่เป็นพิษหรือที่เป็นอันตรายอื่น ๆ

การช่วยชีวิต หรือ การกู้ชีพ

การฝึกอบรม อุปกรณ์เครื่องมือ และหน่วยกู้ภัยที่มีประสบการณ์ จะต้องพร้อมเสมอในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน จากสถิติพบว่าการเสียชีวิตส่วนหนึ่งเกิดจากความเร่งรีบ ของทีมกู้ภัยที่เข้าช่วยเหลือโดยขาดการฝึกอบรม และเครื่องมือที่เหมาะสม