หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

(Holiday Season can cause us to stress) เชื่อหรือไม่? ช่วงเทศกาลก็ทำให้เราเครียดได้

chrismas

มีคนเป็นจำนวนมากที่พบว่าตนเองมีความเครียดเพิ่มมากขึ้นในช่วงวันหยุด ความเครียดไม่ได้เป็นเพียงปัญหาด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นปํญหาด้านความปลอดภัยด้วย ผู้ที่มีความเครียดมักมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าผู้ที่ไม่มีความเครียด

ในประเทศสหรัฐอเมริกามีรายงานตัวเลขค่าใช้จ่ายที่เกิดจากความเครียดที่เป็นสาเหตุให้พนักงานมีอาการปวดศีรษะ ต้อง

ขาดงาน มีผลการปฎิบัติงานที่แย่ลง คิดเป็นมูลค่ากว่า 300, 000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ไม่น้อยเลยที่เดียว

การตกแต่งประดับประดา การจับจ่ายใช้สอย การเฉลิมฉลองในช่วงเทศกาลวันหยุด กิจกรรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ งานรื่นเริง การขับรถเดินทาง การเดินทางท่องเที่ยว ก็ดีล้วนมีผลต่อความความเครียดซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น ดังนั้นกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จึงควรมาคู่กับกับการเพิ่มความระมัดระวังในความปลอดภัย การให้ความรู้และสร้างความตระหนักให้กับพนักงานในช่วงนี้จึงนับเป็นสิ่งที่ดีและควรทำอย่างยิ่ง

ในช่วงใกล้วันเทศกาลแบบนี้พนักงานมักจะไม่มีสมาธิในการทำงานเพราะมัวคิดถึงแต่เรื่องวันหยุดมากกว่างานที่ทำ ซึ่งจะเป็นสาเหตุนำไปสู่ความประมาท และการเกิดอุบัติได้ง่าย บางคนอาจจะมีกิจกรรมหลังเลิกงาน เช่น การไปจับจ่ายซื้อหาของขวัญ ไปงานเลี้ยงสรรคสรรค์ ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ และมาทำงานด้วยความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายเช่นกัน

เราสามารถป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลอย่างนี้โดยการเพิ่มการเอาใจใส่ดูแลพนักงาน และให้คำแนะนำกับพนักงาน ดังนี้

· การวางแผน : วางแผนการท่องเที่ยว การเดินทาง งานเลี้ยงสังสรรค์ และอื่น ๆ แต่เนิ่น ๆ

· ถาม อย่าเดา : พยายามสอบถามหรือเรียบ ๆ เคียง ๆ ถามผู้ที่เราจะมอบของขวัญให้ว่าเขาต้องการอะไรเป็นพิเศษเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและผู้รับได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

· ไม่ควรอดอาหาร : รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อเพื่อให้ร่างกายมีพลังงานและหลีกเลี่ยงอาการปวดศีรษะ

· พยายามนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: การอดนอนจะทำให้ร่างกายเกิดความเครียดได้ง่าย

· ดื่มแต่พอประมาณ : ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลแต่พอประมาณ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการเมาและเมาค้าง

เพียงเท่านี้เราก็สามารถใช้ชีวิตในช่วงเทศกาลได้อย่างสนุกสนาน ปราศอุบัติเหตุ และความเครียด กันแล้ว.

วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

How Cold is Too Cold? (อย่างไรถึงเรียกว่าอากาศหนาวเกินไป)

อากาศหนาวเริ่มมาเยือนอีกรอบแล้วช่างเร็วเหลือเกิน รอบนี้มีการพยากรณ์กันว่าจะหนาวกว่าทุกปี จะจริงหรือไม่ก็คงต้องรอพิสูจน์เอา แต่อย่างไรก็ตามในฐานะที่อยู่ในแวดวงความปลอดภัย เพื่อความไม่ประมาทก็อยากให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับภัยหนาวกันดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ทำงานในที่เย็น หรืออุตสาหกรรมห้องเย็นที่มีอากาศเย็นจัด เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง ตลอดช่วงฤดูหนาว

ตามคำนิยามของ OSHA (หน่วยงานดูแลเรื่องความปลอดภัย สุขภาพ จากการประกอบอาชีพ ของอเมริกา) ระบุว่า การเจ็บป่วยเนื่องจากอากาศเย็นจะเกิดขึ้นเมื่อกลไกลของร่างกายไม่สามารถสร้างความอบอุ่นด้วยตัวเองได้ ทำให้เนื้อเยื่อต่าง ๆ ถูกทำลาย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยเนื่องจากอากาศเย็น มีด้วยกัน 4 ปัจจัยคือ

· อุณหภูมิอากาศที่เย็น

· ลมที่แรง

· ความชื้นของอากาศ

· การสัมผัสกับน้ำที่เย็บ หรือพื้นผิวที่เย็น

สภาพแวดล้อมที่หนาว/เย็นจะทำให้กลไกลในร่างกายต้องทำงานหนักหนักขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายไว้ ซึ่งสภาพอากาศที่เย็น น้ำที่เย็น และหิมะ ล้วนทำให้ร่างกายต้องสูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย .

นอกจากนี้ในขณะที่อุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งและมีการป้องกันที่ไม่เพียงพอยังอาจทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยเนื่องจากความหนาวได้

เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายเมื่ออากาศหนาว ?

พลังงานในร่างกายจะถูกนำไปใช้เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายทำให้ร่างกายอบอุ่น เมื่อต้องอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเป็นเวลานานร่างกายก็จะเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดเลือดจากอวัยวะส่วนปลายของร่างกาย คือแขน ขา และผิวหนังชั้นนอกไปยังอวัยวะแกนหลัก คือส่วนหน้าอกและหน้าท้อง ซึ่งการเพิ่มอัตราการไหลเวียนโลหิตนี้จะทำให้แขน ขา และผิวหนังเราเย็นลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเจ็บป่วยขึ้นได้

ความเจ็บป่วยที่เกิดจากความหนาว ที่สำคัญ ๆ ได้แก่

Hypothermia (อุณหภูมิร่างการลดต่ำเนื่องจากความเย็น) เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายสูญเสียความร้อนไปมากกว่าที่ร่างกายสร้างขึ้นมาทดแทน เมื่ออุณหภูมิร่างกายลดลงต่ำกว่าอุณหภูมิปกติ คือ 37 องศาเซลเซียส ถึงประมาณ 32 องศาเซลเซียส จะเริ่มมีอาการหนาวสั่น อ่อนเพลีย สับสน ง่วงซึม ผิวหนังซีดเย็น

Frostbite อาการบวมเป็นน้ำเหลือง เนื่องจากถูกความเย็น เกิดขึ้นเมื่อผิวหนังถูกความเย็นและสูญเสียน้ำ ส่วนใหญ่มักพบที่บริเวณอวัยวะส่วนปลายของร่างกาย โดยอวัยวะส่วนดังกล่าวจะเย็น รู้สึกซ่า ๆ เจ็บปวด หมดความรู้สึกในที่สุด ผิวหนังจะเปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเป็นสีม่วง และกลายเป็นสีขาว และผิวหนังจะเย็นจนสัมผัสไม่ได้ ในบางกรณีอาจมีตุ่มพุพองเกิดขึ้น

Trench foot เท้าแช่น้ำเย็น เกิดจากการที่เท้าแช่อยู่ในน้ำเย็นที่มีอุณหภูมิประมาณจุดเยือกแข็งเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งจะคล้ายคลึงกันกับ Frostbite แต่อาการ Trench Foot นี้จะรุนแรงน้อยกว่า จะมีอาการผิวหนังรู้สึกซ่าๆ มีตุ่มหิด หรือรู้สึกเหมือนถูกไฟลวก ต่อมาอาจจะมีแผลพุพอง

เมื่อต้องเผชิญกับภัยหนาว

สิ่งที่ควรปฎิบัติหรือแนวทางการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากภัยหนาว สำหรับผู้ที่ต้องทำงานสัมผัสกับความหนาว/เย็น รวมทั้งผู้ที่ชอบพักผ่อนหย่อนใจ หรือชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้งในฤดูหนาว มีดังนี้

· สวมใส่เสื้อผ้าอย่างน้อย 3 ชั้น โดยชั้นนอกสุดเป็นผ้าที่ทำจากวัสดุที่สามารถป้องกันแรงลมได้ เช่น Gortex, ชั้นกลางควรทำจากวัสดุที่ช่วยดูดซับเหงื่อและให้ความอบอุ่น เช่นขนสัตว์ และชั้นในสุดควรทำจากวัสดุที่ระบายอากาศได้ดี เช่น cotton หรือ synthetic

· สวมหมวก เนื่อจากความร้อนในร่างกายอาจสูญเสียผ่านทางศีรษะได้

· มีเสื้อผ้าแห้ง ติดสำรองไปด้วย เผื่อกรณีที่ที่ชุดที่สวมใส่อยู่เปียก

· ควรสวมเสื้อผ้าที่หลวม ๆ เนื่องจากจะช่วยการระบายอากาศได้ดี

· ปฎิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัยในการปฎิบัติงานอย่างเคร่งครัด , ดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ , พักโดยการออกจากที่หนาว/เย็น เป็นระยะๆ, ควรทำงานเป็นคู่ และรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ

· ใช้การป้องกันทางด้านวิศวกรรม เช่น เครื่องทำความร้อน, ที่ป้องกันแรงลม และทำฉนวนหุ้มอุปกรณ์ หรือเครื่องมือ

· เรียนรู้ หรือทราบอาการเบื้องต้นที่อาจเกิดขึ้นกับภัยหนาว

เพียงง่าย ๆ เท่านี้ เราก็จะเผชิญกับความหนาวแบบไม่หวาดหวั่นกันแล้ว

“ ความปลอดภัยเป็นเรื่องของการหมั่นเรียนรู้และตระหนัก”

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

What’s a Confined Space? (อย่างไรถึงเรียกว่าสถานที่อับอากาศ)

ในตอนที่ผ่านมาเราได้ทราบถึงกฎเหล็กเพื่อความปลอดภัยในการปฎิบัติงานในสถานที่อับอากาศกันไปแล้ว ในตอนต่อไปนี้ เราจะมาทราบกันต่อถึงความหมาย หรือลักษณะของสถานที่อับอากาศ อย่างไรถึงเรียกว่าเป็นสถานที่อับอากาศ

สถานที่อับอากาศคือสถานที่ที่มีทางเข้าออกที่จำกัด ยากต่อการเข้า-ออก และไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้คนเข้าไปครอบครอง ทำงาน หรืออยู่อาศัย ตัวอย่างเช่น

  • ภาขนะบรรจุขนาดใหญ่
  • กรวยขนาดใหญ่
  • ห้องใต้ดิน
  • เพลาระบายอากาศ
  • ไซโล เป็นต้น

สถานที่อับอากาศเป็นสถานที่ที่อาจมีอันตรายที่มองไม่เห็นแอบแฝงอยู่ ต้องใช้ความรวดเร็วในการปฎิบัติงาน สภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และยากต่อการหลบหนีหรือหลบหลีก ซึ่งอันตรายดังกล่าว ประกอบไปด้วย

  • การขาดออกซิเจน
  • การเกิดอัคคีภัยหรือการระเบิด
  • การเกิดสารที่เป็นพิษ
  • การเกิดอันตรายทางด้านกายภาพ เช่น ความร้อน เสียง การพลัดตก และ อันตรายจากเครื่องจักร

แม้ว่าจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่าที่ทำความสะอาดอย่างดีแล้วก็อาจมีความเสี่ยงได้ ดังนั้นการเรียนรู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นภายในสถานที่อับอากาศ และวิธีการรับมือหรือป้องกันจะช่วยให้เราทำงานในสถานที่อับอากาศได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเทคนิคต่างๆ จะได้นำมาเล่าสู่กันฟังในตอนต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Strategy for Safer Jobs (กลยุทธ์สู่การทำงานที่ปลอดภัยกว่า)

วิธีการหนึ่งที่ใช้ได้ผลดีในการพิจารณาว่าขั้นตอนการทำงานนั้น ๆ มีความปลอดภัยกับผู้ปฎิบัติงานหรือไม่ ก็คือการวิเคราะห์อันตรายจากงาน

การวิเคราะห์อันตรายจากงาน เป็นเทคนิคที่ง่าย แต่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมุ่งเน้นที่การระบุ หรือหาอันตรายของงานก่อนที่จะเกิดขึ้น โดยเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปฎิบัติงานกับงานที่ทำ เครื่องมือและอุปกรณ์ และสภาพแวดล้อมในการทำงาน โดยมีแนวความคิดว่า เมื่อเราทราบอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากงานที่ทำ เราก็จะสามารถขจัด หรือลดระดับอันตรายให้อยู่ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

การวิเคราะห์อันตรายจากงานเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย มีประโยชน์อย่างมาก แม้ว่าจะต้องใช้เวลา โดยเราต้องทำการวิเคาระห์อันตรายของแต่ละงานอย่างระมัดระวัง และทำทุกขั้นตอนของแต่ละงาน นอกจากนี้เรายังต้องมองลึกลงไปถึงประสิทธิภาพการปฎิบัติงานที่ผ่านมาด้วย

.การจัดลำดับความสำคัญของการเลือกงานที่จะทำการวิเคราะห์ควรพิจารณาถึง

  • งานที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุ หรือความเจ็บป่วยสูงสุด
  • ในกรณีที่ไม่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่ผ่านมา ก้ให้พิจารณางานที่มีโอกาสทำให้เกิดอุบัติที่รุนแรงหรือพิการ
  • งานที่หากเกิดความผิดพลาดอันเนื่องจากตัวผู้ปฎิบัติงานแล้วอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บที่รุนแรง
  • เป็นงานใหม่สำหรับผู้ปฎิบัติงาน หรืองานที่มีการเปลี่ยนแปลงขบวนการหรือขั้นตอนการปฎิบัติงาน
  • งานที่มีความซับซ้อนซึ่งต้องมีการจัดทำคู่มือการปฎิบัติงาน)
ขั้นตอนในการวิเคราะห์หาอันตราย

1. การมีส่วนร่วมของผู้ปฎิบัติงาน การให้ผู้ปฎิบัติงาน มีส่วนร่วมในขบวนการวิเคราะห์อันตรายของงานเป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะพวกเขาจะมีความเข้าใจงานที่ปฎิบัติเป็นอย่างดี ซึ่งความรู้ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากในการค้นหาอันตราย ช่วยลดปํญหาการสังเกตผิดพลาด และผู้ปฎิบัติงานมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

2. การทบทวนสถิติการเกิดอุบัติเหตุ ทบทวนการเกิดอุบัติเหตุและการเจ็บป่วย อุบัติเหตุที่ทำให้ทรัพย์สินสียหาย และอุบัติการณ์ที่เกือบเป็นอุบัติเหตุ ให้กับพนักงานได้ทราบ เพราะข้อมูลเหล่านี้จะเป็นตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นถึงความไม่เพียงพอของการควบคุมอันตรายที่มีอยู่ และต้องได้รับการพิจาณาเพิ่มเติม

3.ดำเนินการทบทวนเบื้องต้น ทบทวนถึงอันตรายที่มีอยู่ในปัจจุบันผู้ปฎิบัติงาน ระดมสมองเพื่อหาแนวทางในการขจัดหรือควบคุมอันตรายเหล่านี้ และเมื่อพบว่ามีอันตรายใดที่อาจทำอันตรายกับชีวิตและสุขภาพของพนักงาน ก็ต้องดำเนินการจัดการทันที

4. จัดลำดับความสำคัญ จัดทำรายการของงานที่มีความเป็นอันตรายอยู่ในระดับที่ยอมรับไม่ได้ โดยงานที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด และมีผลกระทบรุนแรงที่สุด ควรนำมาพิจารณาเป็นอันดับแรก

5. จัดทำขั้นตอนของงาน ในการวิเคราะห์หาอันตราย จะต้องแบ่งงานออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ สังเกตและบันทึกการปฎิบัติงานของผู้ปฎิบัติงานในแต่ละขั้นตอนโดยต้องมั่นใจว่าได้บันทึกข้อมูลมากพอที่จะอธิบายถึงการทำงานในแต่ละขั้นตอนได้โดยไม่ใส่รายละเอียดที่มากเกินไป ไม่ควรแบ่งขั้นตอนของงานให้แยกย่อยเกินไป หรือหยาบเกินไป ทำการทบทวนการทำงานแต่ละขั้นตอนกับผู้ปฎิบัติงานเพื่อให้มั่นใจว่าครอบคลุมทุกขั้นตอน และยังแสดงเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณทำการประเมินผลงานตัวเองไม่ใช่ผลการปฎิบัติงานของผู้ปฎิบัติงาน

6. การระบุอันตราย จัดทำรายการของอันตรายที่พบในขั้นตอนที่ 3 รวมถึงอันตรายที่พบเพิ่มเติมในขั้นตอนการสังเกตการทำงานของผู้ปฎิบัติงาน (ขั้นตอนที่ 5)

และนอกจากนี้

ต้องมั่นใจว่าผู้ปฎิบัติงานได้มีส่วนร่วมในการในทุกขั้นตอนของการวิเคราะห์หาอันตราย โดยการทบทวนขั้นตอนการปฎิบัติงาน และการเสนอแนะแนวทางในการควบคุมอันตราย

บางครั้งการถ่ายภาพ หรือวีดีโอในขณะที่ผู้ปฎิบัติงานกำลังปฎิบัติงาน จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างมากในการวิเคราะห์หาอันตราย

หนทางสู่การทำงานที่ปลอดภัยกว่า

ไม่ยากอย่างที่คิด ขอเพียงได้เริ่มต้น”

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Hearing Hazards (อันตรายจากการได้ยิน)

เสียงใครคิดว่าไม่อันตราย เสียงบางชนิดอาจทำให้คนเราถึงกับสูญเสียการได้ยินได้ มีเสียงอยู่ 2 ประเภทที่เราควรต้องหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้ หรือสัมผัสเป็นเวลานาน ๆ ได้แก่

เสียงที่ดังมากมาก เสียงประเภทนี้จะทำให้การสูญเสียการได้ยินเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้แก่

• เสียงยิงปืน , ˜ เสียงแตรรถยนต์

• เสียงประทัด, ˜ เสียงเครื่องบินไอพ่น

เสียงที่ดังระดับปานกลางแต่สัมผัสเป็นเวลานาน เสียงประเภทนี้สามารถทำให้สูญเสียการได้ยินถ้าต้องสัมผัสเป็นเวลา 4-8 ชั่วโมงต่อวัน หรือสัมผัสบ่อย ๆ ได้แก่

• เสียงจากเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการไม้ งานขุดเจาะ งานขัดงานเจียรต่าง ๆ

• เสียงดนตรีที่ดังมาก ๆ

• เสียงยานยนต์จากท้องถนน

• เสียงจากเครื่องดูดฝุ่น และเครื่องจักรอื่น ๆ

เราควรต้องทำอย่างไร

• ทราบระดับความดังเสียงในบริเวณที่เราปฎิบัติงานอยู่

• ป้องกันตนเองโดยการสวมที่อุดหู หรือปลั๊กลดเสียง

• ในแต่ละวันควรหาเวลาอยู่ในที่เงียบ ๆ บ้าง

• ตรวจเช็คสมรรถภาพหูเป็นประจำอย่าน้อยปีละ 1 ครั้ง

วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Confine Space Safety Golden Rules (กฎเหล็กเพื่อความปลอดภัยในการปฎิบัติงานในสถานที่อับอากาศ)

จากสถิติพบว่าในแต่ละปีจะมีรายงานการเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับสถานที่อับอากาศเกิดขึ้นบ่อยมาก และการเกิดแต่ละครั้งก็มักจะมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจากสาเหตุ หลักๆ ดังนี้

· ขาดการระบายอากาศตามธรรมชาติ

· ปริมาณออกซิเจน ในบรรยากาศมีไม่เพียงพอ

· มีสารไวไฟหรือสารที่ระเบิดไอยู่ในบรรยากาศ

· มีอันตรายอื่น ๆ ที่เราไม่คาดคิด

· มีทางเข้าออกที่จำกัด

· มีสารที่เป็นอันตรายปนเปื้อนในบรรยากาศในปริมาณที่สูง

· มีข้อจำกัดเรื่องการเคลื่อนไหว

และพบว่า 3 องค์ประกอบต่อไปนี้มักจะขาดหายไปเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นในสถานที่อับอากาศ

1. ขาดการตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทั้งของพนักงานผู้ปฎิบัติงานและ หัวหน้างาน

2. ขาดการตรวจวัดและประเมินสภาพแวดล้อมก่อนเข้าไปปฎิบัติงาน และการตรวจติดตามหลังจากเข้าไปปฎิบัติงานแล้ว

3. ขาดแผนงานและบุคลากรที่มีประสิทธิภาพในการช่วยชีวิต หรือกู้ชีพ

การฝึกอบรม

การตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเป็นเรื่องที่จำเป็นเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นการฝึกอบรมจึงควรเน้นไปที่เรืองของอันตรายที่อาจเกิดขึ้นภายในสถานที่อับอากาศ และข้อควรปฎิบัติ ในการป้องกันการบาดเจ็บและอุบัติเหตุ ผู้ฝึกสอนควรเน้นไปที่เรื่องของการเสียชีวิตซึ่งมักจะเป็นผลลัพธ์ของการเกิดอุบัติเหตุในสถานที่อับอากาศ

การตรวจวัด

การตรวจวัดสภาพแวดล้อม การประเมิน และการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน มากกว่าครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตในสถานที่อับอากาศเกิดจากสถาพบรรยากาศที่เป็นอันตราย เช่น การมีไอระเหยของสารพิษที่เป็นอันตราย การขาดออกซิเจน ดังนั้นควรมีการการตรวจวัดสถาพแวดล้อมภายในสถานที่อับอากาศก่อนเข้าไปปฎิบัติงานโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรู้ เพื่อประเมินว่ามีความปลอดภัยในการเข้าไปปฎิบัติงานหรือไม่ การตรวจวัดควรตรวจวัดปริมาณออกซิเจน ปริมาณสารไวไฟ และสารที่เป็นพิษหรือที่เป็นอันตรายอื่น ๆ

การช่วยชีวิต หรือ การกู้ชีพ

การฝึกอบรม อุปกรณ์เครื่องมือ และหน่วยกู้ภัยที่มีประสบการณ์ จะต้องพร้อมเสมอในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน จากสถิติพบว่าการเสียชีวิตส่วนหนึ่งเกิดจากความเร่งรีบ ของทีมกู้ภัยที่เข้าช่วยเหลือโดยขาดการฝึกอบรม และเครื่องมือที่เหมาะสม

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Choosing and Using Respiratory Protection (การเลือก และ การใช้งานอุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ)

เลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจให้ถูกต้องเหมาะสมกับงานเสมอ ชนิดของอุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ มี 3 ชนิดหลัก ๆ คือ

หน้ากากกรอง

• ใช้สำหรับกรองฝุ่น ฟูม และ ละออง

• ส่วนใหญ่จะเป็นหน้ากากชนิดใช้แล้วทิ้ง หรือชนิดเปลี่ยนเฉพาะตัวกรอง

• ควรเปลี่ยนตัวกรองเมื่อตัวกรองอุดตัน หรือเปลี่ยนสี

หน้ากากชนิดอากาศบริสุทธิ์

• ประกอบไปด้วยตลับกรองสารเคมีที่ถอดเปลี่ยนได้ หรือ ถังกรอง ที่ทำหน้าที่กำจัดอากาศที่ปนเปื้อนออกจากระบบหมุนเวียนอากาศ

• อาจมีสัญญลักษณ์สีเพื่อช่วยให้เลือกใช้ได้ถูกต้องกับ

ชนิดของอันตราย

• บางครั้งอาจต้องใช้ตลับกรองมากกว่า 1 ตลับในการป้องกันอันตรายหลาย ๆ

ชนิดในคราวเดียวกัน

หน้ากากชนิดมีอากาศช่วยในการหายใจ

• ใช้หลักการนำอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้ามาช่วยในการหายใจเมื่ออากาศที่รอบ ๆ ตัวมีความเป็นอันตรายต่อการหายใจ

• มีทั้งที่เป็นชนิดมีอากาศอัดในตัว ชนิดถังอากาศเคลื่นที่ หรือชนิดที่ต้องต่อท่อหายใจ

ในการใช้อุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจหรือหน้ากาก ระลึกไว้เสมอว่า

1. เลือกใช้หน้ากากให้ถูกต้องและเหมาะกับลักษณะงาน

2. มั่นใจว่าขนาดของหน้ากากเหมาะพอดีกับใบหน้า

3. รักษาหน้ากากให้สะอาดและเก็บรักษาอย่างถูกต้อง

4. ปฎิบัติตามคำแนะนำเพื่อความปลอดภัย

5. เปลี่ยนตัวกรองหรือตลับกรองเมื่อจำเป็น

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Respiratory Hazards (สิ่งที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ)

สิ่งที่สามารถทำอันตรายหรือเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจของคนเรา มี 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ

อนุภาค

อนุภาค คือวัตถุขนาดเล็กที่เราสามารถมองเห็น หรือไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ประกอบไปด้วย

• ฝุ่น (Dusts) อนุภาคของแข็งขนาดเล็กทั้งที่สามารถมองเห็น หรือไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เช่น ฝุ่นทราย

• ละออง (Mists) อนุภาคของเหลวขนาดเล็ก เช่น ละอองสีสเปรย์

• ฟูม ( Fumes) อนุภาคของแข็งโลหะ เกิดจากการกลั่นตัวของโลหะเมื่อโลหะได้รับความร้อน

ก๊าซ

ก๊าซคือสสารที่ละลายอยู่ในอากาศที่เราไม่สามารถมองเห็น และบางครั้งไม่สามารถได้กลิ่น ก๊าซประกอบไปด้วยไอที่เกิดจากของเหลวเมื่อได้รับความร้อน หรือเมื่อถูกทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง

อันตรายต่อระบบหายใจ หมายถึงสามารถทำให้ระคายเคืองหรือทำความเสียหายให้กับ

• ปอด • จมูก ทางเดินหายใจ • อวัยวะอื่น ๆ

จะเห็นได้ว่าไม่เสมอไปที่เราจะสามารถเห็นวัตถุหรืออนุภาคที่เป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจลอยอยู่ในอากาศที่เราหายใจเข้าไป ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะสามารถป้องกันระบบทางเดินหายใจของเรา คือการป้องกันตัวเองโดยการ

• รู้ชนิดของสิ่งที่สามารถทำอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจที่เราต้องสัมผัส

• เลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่ถูกต้องหรือเหมาะกับชนิดของอันตราย

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Is back support necessary for employee? (พนักงานที่ยกเคลื่อนย้ายของหนักจำเป็นต้องใส่เข็มขัดพยุงหลังหรือไม่ ?)

เข็มขัดพยุงหลัง (back support) นับวันพนักงานในสถานประกอบกิจการยิ่งมีความนิยมนำมาสวมใส่เสมือนเป็นอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลเช่นเดียวกับหมวกหรือรองเท้านิรภัยที่ใช้ในขณะทำงานมากขึ้นทุกที

เข็มขัดพยุงหลังมีประโยชน์ในพนักงานที่ได้รับบาดเจ็บและกำลังฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อกลับเข้าทำงานเดิม การใส่จะมีประโยชน์มากในช่วงแรก เพื่อลดอาการเจ็บ แต่ควรจะใช้ในช่วงเวลาสั้นๆ

การที่คิดว่าการใส่เข็มขัดพยุงหลังแล้วจะป้องกันอาการปวดหลังได้นั้นเป็นความคิดที่ผิด เพราะการป้องกันอาการปวดหลังจากการทำงาน ต้องอาศัยการจัดสภาพการทำงานให้เหมาะสม น้ำหนักวัตถุที่จะยกไม่หนักเกินกำลัง เมื่อใดที่ยกของหนักเกินกำลังของตนเอง และต้องบิดตัวขณะยก ไม่ว่าจะใส่หรือไม่ใส่เข็มขัดพยุงหลังก็จะมีโอกาสปวดหลังได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น พนักงานที่ไม่มีอาการบาดเจ็บหรือปวดหลังไม่จำเป็นต้องใส่เข็มขัดพยุงหลัง นอกจากสิ้นเปลืองแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพร่างกายดังนี้

(1) กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวทำงานลดลง

เข็มขัดพยุงหลังในทางการแพทย์จะใช้พยุงหลังบรรเทาอาการปวด ในกรณีที่กระดูกสันหลังเคลื่อนหรือหลังผ่าตัดหลัง เพื่อช่วยทำงานแทนกล้ามเนื้อหลังที่อ่อนแอไปหลังจากการผ่าตัด และทำให้การซ่อมแซมส่วนที่บาดเจ็บเร็วขึ้น เพราะกล้ามเนื้อทำงานน้อยลง แต่การใส่ระยะยาวจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณลำตัวทำงานลดลง

มีการศึกษาในหลายประเทศ พบว่า อัตราการบาดเจ็บหรือปวดหลังระหว่างพนักงานที่ใส่เข็มขัดพยุงหลังกับพนักงานที่ไม่ใส่ มีอัตราที่ไม่แตกต่างกัน แต่พนักงานที่ใส่เข็มขัดพยุงหลังมีการบาดเจ็บที่รุนแรงมากกว่า เนื่องจากพนักงานที่ใส่เข็มขัดพยุงหลังจะรู้สึกมั่นใจมากเมื่อยกของหนัก คิดว่าตนเองมีความปลอดภัยแล้ว ความมั่นใจนี้จะมีผลเสียทำให้ยกของหนักโดยไม่ระมัดระวังเท่ากับในขณะที่ไม่ได้ใส่เข็มขัดพยุงหลัง

(2) เกิดไส้เลื่อน ริดสีดวงทวาร เส้นเลือดขอด และความดันเลือดเพิ่มขึ้น

ได้มีการศึกษาโดยการตรวจวัดความดันเลือดของพนักงานที่ใส่เข็มขัดพยุงหลังในขณะยกของหนัก นั่ง และทำงานเบา พบว่า การใส่เข็มขัดพยุงหลังทำให้ความดันเลือดเพิ่มขึ้น ซึ่งอธิบายได้ว่า การใส่เข็มขัดพยุงหลังจะมีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น ปริมาณเลือดที่ไหลกลับเข้าหัวใจเร็วขึ้น ทำให้ความดันเลือด

เพิ่มขึ้น ผู้ที่มีความดันเลือดสูงอยู่แล้วก็จะสูงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ผลระยะยาวจากการใส่เข็มขัดพยุงหลังที่ทำให้ความดันในช่องท้องสูงนานๆ อาจทำให้เกิดไส้เลื่อน ริดสีดวงทวาร เส้นเลือดขอดที่ขาและถุงอัณฑะได้

สาเหตุของการปวดหลังจากการทำงาน

อาการปวดหลังจากการทำงานเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มพนักงานที่ทำงานในสถานประกอบกิจการ ซึ่งมักมีอาการปวดที่บริเวณเอวและหลัง เมื่อพักผ่อนก็จะมีอาการดีขึ้น แต่เมื่อเริ่มเคลื่อนไหวทำงาน ก็จะเริ่มมีอาการปวดหลังขึ้นอีก อาการปวดหลังเรื้อรังนี้จะส่งผลไปถึงการหยุดงาน การสูญเสียรายได้ การเสียค่ารักษาพยาบาล

สาเหตุอาการปวดหลังของคนกลุ่มนี้ มักเกิดจากต้องคร่ำเคร่งกับการทำงาน ก้มตัวยกของหนัก ทำงานอยู่ในท่าเดียวกันนานๆ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อ มีรายงานประเทศอุตสาหกรรม มีอุบัติการณ์ของอาการปวดหลังสูง เช่น สหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยปวดหลัง ร้อยละ 5 ของประชากรวัยทำงานทั้งหมด สำหรับประเทศไทยในแต่ละปีพนักงานในสถานประกอบกิจการประสบปัญหาบาดเจ็บจากการทำงานที่มีสาเหตุจากท่าทางการทำงาน และการยกเคลื่อนย้ายของหนักด้วยการใช้แรงคน จนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ทำกายภาพบำบัดมีจำนวนสูงขึ้นทุกปี เช่น ปีพ.ศ. 2549 มีจำนวน 1251 ราย ปีพ.ศ. 2550 มีจำนวน 2395 ราย ปีพ.ศ. 2551 มีจำนวน 5925 ราย ตามลำดับ (สำนักงานกองทุนเงินทดแทน สำนักงานประกันสังคม)

การป้องกันอาการปวดหลัง

อาการปวดหลังนี้ แพทย์และนักกายภาพบำบัดเป็นเพียงผู้ช่วยให้อาการปวดทุเลา ซึ่งอาจกลับเป็นได้อีก แต่การปวดหลังนี้สามารถที่จะป้องกันได้ โดยการปฏิบัติดังนี้

(1) การยกของหนัก ท่าทางในการยกต้องทำให้ถูกวิธีโดยยืนให้ชิดสิ่งของที่จะยก ย่อเข่าให้หลังเป็นแนวตรง แขนแนบชิดลำตัว และอย่ายกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากเกินไป

(2) หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่าเดียวนานๆ โดยเฉพาะท่านั่ง

(3) การยืนทำงานนานๆ ควรมีที่พักเท้า

(4) อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกินไป ซึ่งมีเกณฑ์มาตรฐานดังนี้

เพศชาย : ส่วนสูง (เซนติเมตร) – 105 = น้ำหนัก ±10กิโลกรัม

เพศหญิง: ส่วนสูง (เซนติเมตร) – 110 = น้ำหนัก ± 10 กิโลกรัม

เช่น เพศชาย สูง 170 เซนติเมตร น้ำหนักควรอยู่ระหว่าง 65 ± 10 กิโลกรัม (55 –75 กิโลกรัม) เป็นต้น

(5) ออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องและหลังแข็งแรง เช่น การใช้วิธีนอนคว่ำ นำหมอนหนุนใต้ท้อง ค่อยๆยกศีรษะขึ้น ค้างไว้ 3– 5 วินาที แล้วค่อยๆลดศีรษะลง โดยทำซ้ำ 5 – 10ครั้ง เป็นต้น

(6) เมื่อมีอาการปวดหลัง อาจใช้กระเป๋าน้ำร้อนวางบริเวณที่ปวดนาน 20– 30นาที แต่ถ้ามีอาการปวดร้าวลงขา อาจเกิดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ควรรีบไปปรึกษาแพทย์

ที่มา: งานการยศาสตร์แรงงาน ฝ่ายพัฒนาความปลอดภัย สถาบันความปลอดภัยในการทำงาน

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

What is Your Safety Level? (คุณมีความปลอดภัยอยู่ในระดับใด)

 

คำถามต่อไปนี้จะช่วยประเมินว่าคุณมีความปลอดภัยในระดับอยู่ในระดับใด โดยให้คุณเลือกคำตอบที่ตรงกับตัวคุณมากที่สุดเพียงคำตอบเดียว

คำแนะนำ : จงซื่อสัตย์กับตนเองแล้วคุณจะได้ประโยชน์จากการทำแบบสอบถามนี้

 

คำถาม

ทำบ่อย/
ทำทุกครั้ง

ทำเป็นบางครั้ง

ไม่เคยทำ

1.ฉันเล่นเวลาพัก หรือหลังเลิกงาน

     

2. ฉันอ่านฉลากก่อนใช้สารเคมี

     

3.ฉันใช้เครื่องมือที่ถูกต้องเหมาะสมกับงานแม้ว่ามันจะใช้เวลามากกว่า

     

4.ฉันทำความสะอาดสารเคมีที่หกรั่วไหลทันที

     

5.ฉันทำความสะอาดสารเคมีที่หกรั่วไหลทันที

     

6. ฉันมาทำงานด้วยความมีสติ

     

7.ฉันรายงานสิ่งที่เป็นอันตราย/ไม่ปลอดภัยทันที

     

8 ฉันศึกษาข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัยก่อนปฎิบัติงาน

     

9. ฉันถอดปลั๊กอุปกรณ์/เครื่องมือ ก่อนทำความสะอาด

     

10 ฉันถอดปลั๊กอุปกรณ์/เครื่องมือ ก่อนทำความสะอาด

     

11.เมื่อฉันโกรธ ฉันจะหยุดพัก

     

12.ฉันจัดพื้นที่ทำงานฉันให้เป็นระเบียบเรียบร้อย

     

13.ฉันเก็บรักษาเครื่องมือฉันให้อยู่ในสภาพดี

     

14.ฉันรู้ว่าต้องปฎิบัติอย่างไรในกรณีฉุกเฉิน

     

15 ฉันระมัดระวังในการจุดไฟแช๊ก และการทิ้งบุหรี่

     

 

การให้คะแนน: 3 คะแนน สำหรับข้อที่ตอบ “ทำบ่อย”

            2 คะแนน สำหรับข้อที่ตอบ “ทำเป็นบางครั้ง”

                    1 คะแนน สำหรับข้อที่ตอบ “ไม่เคยทำ”

คะแนนรวมของคุณ:

มากกว่า 40 คูณมีทัศนคติและการปฎิบัติที่ปลอดภัยดีมาก

30 – 40 ดี แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นถ้าคุณสามารถ เปลี่ยน

การกระทำที่ “ทำบางครั้ง” เป็น “ทำบ่อย”

ต่ำกว่า 30 คุณต้องเปลี่ยนแปลงการกระทำหลายอย่าง

เพื่อให้คุณปลอดภัย คูณควรจะเลือกการกระทำ

ที่ไม่ปลอดภัยของคูณ 3 เรื่อง แล้วลงมือเปลี่ยนแปลงทันที

Sitting too Long…May Get Hurt!!! (นั่งนาน ๆ .... อาจตายได้!!!)

clip_image002clip_image002

แพทย์เชื่อว่าอาการเลือดจับตัวเป็นก้อนลิ่มในเส้นเลือดของผู้ป่วยใกล้ตายรายหนึ่ง มีสาเหตุมาจากการที่เขาใช้เวลานั่งทำงานอย่างต่อเนื่องกับคอมพิวเตอร์ส่วนตัว (PC) นานเกินไปโดยไม่ได้มีการขยับร่างกาย หรือลุกออกไปไหนเลย

มันเป็นเรื่องจริงที่ว่า คอมพิวเตอร์ส่วนตัว(PC) สามารถทำให้คุณตายได้...เราไม่ได้พูดถึงเกมส์ตายที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากอดอาหารและน้ำต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันแต่เราหมายถึงใครก็ตามที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้เวลาหลายชั่วโมงนั่งอยู่กับโต๊ะคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทนักวิจัยที่ประเทศนิวซีแลนด์พบว่า การนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมงติดต่อกันอาจทำให้เลือดแข็งตัวเป็นก้อนลิ่ม โดยจะเป็นอันตรายถึงตายได้ลักษณะจะคล้ายๆ กับการเกิดอาการที่เรียกกันว่า DVT (Deep-Vein Thrombosis) ซึ่งเกิดจากการนั่งเครื่องบินในระยะทางไกลๆ หรือ

ข้ามทวีป โดยเฉพาะการนั่งชั้นราคาประหยัดบางครั้งจึงเรียกอาการนี้ว่า “Economy-class Syndrome”ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยที่ได้ข้อมูลว่า ชายวัย 32 ปีผู้หนึ่งที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าเทอร์มินัลคอมพิวเตอร์ประมาณ 18 ชั่วโมงต่อวันซึ่งมีอาการโคม่า เนื่องจากเกิดอาการเลือดจับตัวเป็นก้อน โดยก้อนเลือดที่เกิดขึ้นนี้จะอยู่ในบริเวณขาของเขาก่อนที่จะแตกกระจายและเดินทางไปยังปอดทั้งสองของเขาอีกทีหนึ่งอาการที่เรียกว่า DVT นี้จะเกิดขึ้นเมื่อ มีเลือดข้นอยู่ในเส้นเลือดดำซึ่งจะค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองไปเป็นก้อนลิ่มอาการเริ่มแรกที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนคือ ขาจะเริ่มบวม ส่วนอาการที่บ่งบอกว่าเป็นอันตรายร้ายแรงจะเกิดขึ้นเมื่อลิ่มเลือดแตกออกและเดินทางไปยังหัวใจหรืออวัยวะภายในสำคัญๆซึ่งผลลัพธ์ของอาการที่เกิดขึ้นในขั้นนี้ เป็นสิ่งที่จะไม่อาจคาดเดาได้ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหรือนั่งเดินทางเป็นระยะเวลานาน

• ไม่ควรนั่งทำงานหรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานโดยไม่ได้ลุกไปไหนควรจะกำหนดเวลาที่แน่นอนว่า ในหนึ่งชั่วโมงต้องหยุดพักและลุกจากที่นั่งไปทำอย่างอื่น อย่างน้อย 1-2 ครั้ง

• ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนั่งทำงานหรือนั่งเดินทางเป็นเวลานานๆ ให้เตือนตัวเองตลอดเวลา หากรู้สึกว่าได้นั่งนานเกินไปแล้ว ให้พยายามกระดิกนิ้วเท้าและข้อเท้า พร้อมกับดื่มน้ำเรียกความสดชื่นให้กลับคืนมา แต่ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ จากนั้น ให้ลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบทและยืดแขนขาเพื่อให้หายเมื่อยล้า รวมทั้ง เป็นการพักสายตาไปในตัว

• การใช้ยาแอสไพรินซึ่งช่วยให้เลือดไม่ข้นเกินไปสามารถช่วยได้ระดับหนึ่ง ในกรณีเกิดความเมื่อยล้าค่อนข้างรุนแรงหลังการนั่งติดต่อเป็นเวลานานหลายชั่วโมง แต่หากจะใช้ยานี้เป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

• นั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ในลักษณะท่าทางที่ถูกต้องตามหลักเออร์โกโนมิกส์ (อย่างน้อยที่สุด นั่งตัวตรงและมีที่พักเท้าสูงจากพื้นในระดับสบายๆ ไม่เมื่อยขา) จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการ DVT ได้ผู้เชี่ยวชาญด้านเออร์โกโนมิกส์หลายคนกังวลใจกับการใช้คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊คที่ส่วนใหญ่จะใช้งานในลักษณะท่าทางฝืนธรรมชาติโดยตั้งข้อสังเกต ผู้ใช้โน้ตบุ๊คคอมพิวเตอร์จะเสี่ยงต่ออาการผิดปกติที่ว่านี้เป็น 2 เท่า โดยเฉพาะผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คในชั้นที่นั่งราคาประหยัดบนเครื่องบินโลว์คอสต์

ที่มา : safetylifethailand

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

Fire Class & Symbol(ประเภทของการเกิดอัคคีภัย และสัญญลักษณ์ที่ใช้)

แหล่งของการเกิดความร้อนหรือไฟที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดอัคคีภัยนั้น แบ่งเป็นประเภทหลัก ๆ ได้ 4 ประเภทด้วยกัน แต่ละประเภทมีสัญญลักษณ์ที่ใช้ และรายละเอียดดังนี้

image

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

Standard Colour for Safety Sign(มาตรสีที่ใช้ในงานความปลอดภัย)

สีที่นำมาใช้กับเครื่องหมายความปลอดภัยต่าง ๆ นั่น แต่ละสี สื่อถึงความหมาย และ การใช้งานที่แตกต่างกัน และตารางต่อไปนี้เป็นความหมายของสีแต่ละสี และ ตัวอย่างการใช้งาน

image

หวังว่าคงจะทำให้หลายๆ คนมีความเข้าใจ และนำมาใชงานได้ถูกต้อง มากยิ่งขึ้นนะค่ะ